ปานปรีย์: การทูตไทย ‘ต้องไม่เงียบเกินไป’

นโยบายต่างประเทศภายใต้รัฐบาลนายกฯเศรษฐา ทวีสินจะไปทิศทางไหนอยู่ที่แนวคิดของรองนายกฯและรัฐมนตรีต่างประเทศ ปานปรีย์ พหิทธานุกร

ซึ่งมีคุณจักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ

คุณจักรพงษ์เคยดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ

เคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย

ล่าสุดเป็นนายทะเบียนของพรรคเพื่อไทย

ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงนี้คือ นักการทูตอาวุโสที่เคยเป็นปลัดกระทรวงต่างประเทศก่อนเกษียณคือคุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว

นอกนั้นก็มีที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยต่างประเทศที่เป็นนักการทูตเก่าเช่นกันคือคุณรัศม์ ชาลีจันทร์

รัศม์ ชาลีจันทร์ หรือ “ทูตรัศม์” อดีตเอกอัครราชทูตในหลายประเทศรวมทั้งโมซัมบิกและคาซัคสถาน

หลายคนรู้จักทูตรัศม์ในฐานะผู้ก่อตั้งเพจเฟซบุ๊ก ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador ที่บอกเล่าประสบการณ์ชีวิต การทำงาน ประสบการณ์การท่องเที่ยวในต่างแดน

บ่อยครั้งก็โพสต์แสดงทัศนะที่เผ็ดร้อนทางการเมืองทั้งเรื่องในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ

ดังนั้น จะเห็นว่าทีมงานของคุณปานปรีย์มีมืออาชีพด้านการทูตพอสมควร

อีกทั้งยังน่าจะทำให้ทีมงานในกระทรวงต่างประเทศเองจะมีความกระตือรือร้นที่จะนำเสนอและดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษะที่เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม

ใครที่ติดตามคุณสีหศักดิ์ก่อนหน้านี้จะได้รับทราบถึงความคิดเห็นที่วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลก่อนว่ามีสภาพ “ตั้งรับ” มากกว่า “เชิงรุก”

คุณสีหศักดิ์เคยบอกว่าในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยเรา “ตกจากจอเรดาร์ของการเมืองระหว่างประเทศ” เพราะนโยบายทีไม่ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่มีพลวัตรผันผวนร้อนแรงอย่างยิ่ง

จึงน่าเชื่อได้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศปานปรีย์จะได้รับข้อเสนอและแนวทางการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศที่ปรับเข้ากับยุคสมัยได้ทันการมากขึ้น

โดยเฉพาะนโยบายต่อเมียนมา

ในวันที่พบปะกับสื่อมวลชนครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ก่อน คุณปานปรีย์เน้นคำว่า public diplomacy หรือ “การทูตสาธารณะ”

อันหมายถึงการที่การทูตจะต้องเข้าถึงประชาชน ไม่ใช่เรื่องระดับชาติหรือนานาชาติเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่กลับจากการติดตามนายกฯเศรษฐาไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ คุณปานปรีย์จะไปเยือนชายแดนที่จังหวัดปราจีนบุรีติดกับกัมพูชา

เพื่อไปพบปะพูดจากับชาวบ้านและผู้อยู่อาศัยในบริเวณชายแดน จะได้ข้อมูลและแนวทางเพื่อนำมาปรับใช้ในการวางนโยบายกับเพื่อนบ้านต่อไป

คุณปานปรีย์บอกว่าเรื่องพม่านั้นไทยจะต้องกลับไปสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอาเซียนเพื่อผลักดันให้ผู้นำทหารพม่าต้องทำตามฉันทามติ 5 ข้อที่อาเซียนได้ตกลงไว้กับรัฐบาลทหารอาเซียน แต่ถึงวันนี้ยังไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลใหม่ก็จะยังคงไว้ซึ่งช่องทางของการสื่อสารกับรัฐบาลพม่า

แต่ก็ไม่ลืมที่จะเรียกร้องให้ปล่อยตัวอองซานซูจี (ซึ่งมีข่าวล่าสุดของป่วย แต่ทางการพม่าไม่ยอมให้นายแพทย์จากข้างนอกมาดูแลรักษา)

และพยายามใช้ความเป็นเพื่อนบ้านในการผลักดันให้มีการเจรจาเพื่อหาทางยุติความรุนแรงอย่างเป็นรูปธรรม

ขณะเดียวกันก็จะเน้นหลักการมนุษยธรรมและการร่วมมือกับนานาชาติเพื่อให้มาร่วมในการแก้ปัญหาของพม่า

คุณปานปรีย์คงจะได้ยินได้ฟังข้อเสนอจากคนในกระทรวงต่างประเทศเองว่าผลจากการดำเนินนโยบายต่อพม่าภายใต้รัฐบาลก่อนนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

เพราะยุคสมัยที่คุณดอน ปรมัตถ์วินัยเป็นรองนายกฯและรัฐมนตรีต่างประเทศนั้นมีการเน้นย้ำใช้ quiet diplomacy หรือ “การทูตเงียบงัน”

โดยอ้างว่าไม่ต้องการจะแสดงความคิดเห็นหรือให้ข่าวสารเกี่ยวกับการประสานกับช่องทางต่าง ๆ ในพม่าโดยหวังว่าจะไม่เป็นการกดดันกองทัพพม่ามากเกินไป

คุณดอนอ้างเสมอว่าการใช้การทูตแบบนี้ไม่เป็นการผลักไสให้รัฐบาลทหารพม่ารู้สึกถูกโดดเดี่ยว และเชื่อว่าไทยเป็นเพื่อนที่พร้อมจะรับฟังเขามากกว่าประเทศอาเซียนอื่น ๆ

แต่คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้มองว่าการที่รัฐบาลไทยก่อนถูกมองว่ามีความสนิทสนมกับกองทัพเมียนมาแต่ไม่ได้แสดงผลของความคืบหน้าใด ๆ ในการทำตามฉันทามติ 5 ข้อนั้นเท่ากับว่าไทยให้ท้ายรัฐบาลทหารพม่า

โดยไม่เชื่อมต่อกับฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายเห็นต่างจากฝ่ายกองทัพพม่า

อีกทั้งยังทำให้เกิดความแตกแยกในมวลหมู่สมาชิกอาเซียนเอง

แทนที่ไทยจะเล่นบทเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสมาชิกอาเซียนที่มีความเห็นและท่าทีต่อพม่าที่แตกต่าง ไทยกลับถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่เห็นอกเห็นใจรัฐบาลทหารพม่า และมีจุดยืนที่แปลกแยกไปจากอาเซียนบางประเทศเช่นอินโดฯ, มาเลเซีย, สิงคโปร์และฟิลิปปินส์

ส่วนสมาชิกอาเซียนอื่นเช่น สปป. ลาว, เวียดนามและกัมพูชานั้นถูกมองว่ามีความเห็นอกเห็นใจรัฐบาลทหารพม่ามากกว่า

ไทยถูกมองว่าอยู่ข้างเดียวกับกลุ่มหลัง

ทำให้บทบาทของเราในฐานะเป็น “ผู้ประสานรอยร้าว” หดหายไปอย่างน่าเสียดาย

นี่น่าจะเป็นแนวทางสำคัญสำหรับรัฐมนตรีปานปรีย์ที่บอกว่าจะดำเนินนโยบายที่ “ไม่เงียบเกินไป”

คุณปานปรีย์ใช้คำว่าต้องไม่ใช่ too-quiet diplomacy

อันหมายถึงการทูตที่ต้องส่งเสียงในจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อตอกย้ำถึงบทบาทของไทยที่หนักแน่นและมุ่งมั่น

อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำพาไทยกลับไปมีบทบาทที่คึกคักในเวทีระหว่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นที่รังเกียจของสังคมโลกเหมือนที่เคยมองว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารหรือเป็นการต่อท่อจากคณะรัฐประหารเดิม

คุณปานปรีย์จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการใช้นักการทูตมืออาชีพที่กระทรวงต่างประเทศมีอยู่ไม่น้อย เสริมทัพด้วยอดีตนักการทูตที่มาเป็นทีมการเมืองเป็นหัวข้อที่กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดอีกเรื่องหนึ่งของรัฐบาลนี้เช่นกัน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แม้จะแจกเงินหมื่นปีหน้า เศรษฐกิจไทยก็โตไม่ถึง 4%

ใกล้สิ้นปีต้องส่องดูเศรษฐกิจของทั้งปีนี้กับปีหน้า...และต้องเล็งไปข้างหน้าด้วยว่ารัฐบาลเศรษฐาจะสามารถ “กู้มาแจก” ในปีหน้าได้หรือไม่

คิสซิงเจอร์: ‘นักการทูตอันปราดเปรื่อง’ หรือ‘อาชญกรสงครามผู้โหดเหี้ยม’

เฮนรี คิสซิงเจอร์ที่เพิ่งเสียชีวิตในวัย 100 ปีเมื่อวานเป็นนักการทูตและนักยุทธศาสตร์สหรัฐฯที่น่าทึ่ง, น่ากลัว, และน่าสนใจที่สุดคนหนึ่ง

แถลง ‘แก้หนี้นอกระบบ’: เริ่มด้วยคำหรูจบด้วยคำถาม

ผมตั้งใจฟังคำแถลง “แก้หนี้นอกระบบ” ของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มากเพราะอยากรู้จริงๆ ว่าในทางปฏิบัติทำอย่างไรจึงจะให้ “หนี้ใต้ดิน” กลายเป็น “หนี้บนดิน”

นักการทูตไทยยุคดิจิทัล ต้องสร้างใหม่อย่างเร่งรีบ

ต่อแต่นี้ไป นโยบายต่างประเทศจะต้องมองให้ครบทุกมิติของประเด็นการเมือง, เศรษฐกิจ, ความมั่นคงและสังคมที่กำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง

ไทยจะ ‘วางตำแหน่ง’ ในเวทีโลกตรงไหน?

นโยบายการต่างประเทศไทย “ยุคใหม่” ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้เป็นอย่างไร? เมื่อวานได้นำเอาบางตอนของแนวทางวิเคราะห์สถานการณ์โลกที่ปรับเปลี่ยนไปของรองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่, คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร, มาเล่าให้ฟังแล้ว