รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ประกาศตั้งคณะกรรมการ soft power แห่งชาติชุดใหม่ที่มีโครงสร้างและสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งแห่งหนที่จะสามารถผลักดันให้เคลื่อนทัพได้ไม่น้อย...หากสามารถดึงเอาคนเก่งคนมีพรสวรรค์เข้ามาร่วมได้อย่างจริงจัง
แม้พอลงรายละเอียดแล้วยังมีคำถามว่า จะทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างจริงจัง
ในคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั้นระบุว่า คณะกรรมการชุดนี้ที่มีนายกฯ เป็นประธาน
และมีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นรองประธาน
คุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษา และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นกรรมการ
ภาพนี้คุณแพทองธารเอาขึ้นโซเชียลมีเดีย บรรยายว่าเป็นการประชุมนอกรอบของคณะกรรมการรอบแรกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
โดยมีผู้ดำเนินการประสานงานคือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล บูรณาการการดำเนินงานของส่วนราชการและภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพ
และมีความสอดคล้องกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยไปสู่นานาประเทศ
มีอำนาจหน้าที่คือ
(1) กำหนดยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ จัดทำนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
(2) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางทางด้านการเงิน การคลัง การลงทุน รวมทั้งมาตรการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับหรือเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ
(3) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการจัดให้มี ปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ
(4) เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ รวมทั้งมาตรการเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศในการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ
(5) รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและพิจารณามีมติเกี่ยวกับการดำเนินการของหน่วยงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศ
คุณแพทองธารเขียนเล่าในเพจ Facebook ของเธอว่า
ตั้งแต่ปักหมุดนโยบายซอฟต์เพาเวอร์แล้ว ที่เพื่อไทยถูกตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงใช้คำว่า ‘ซอฟต์เพาเวอร์’ เราเข้าใจคำนี้จริงหรือไม่
ขั้นแรกอยากอธิบายว่า ซอฟต์เพาเวอร์ไม่เท่ากับเศรษฐกิจสร้างสรรค์
แต่ซอฟต์เพาเวอร์ครอบคลุมทั้งการพัฒนาคนที่มีทักษะสูง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเมืองประชาธิปไตย และการต่างประเทศที่เรียกว่า ‘การทูตเชิงวัฒนธรรม’ (Cultural Diplomacy)
ซอฟต์เพาเวอร์จึงไม่ใช่แค่มิติเศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือมิติทางการเมืองระหว่างประเทศ
แต่จะต้องทำงานอีกหลายด้านเพื่อให้เกิดการพัฒนา จนสามารถส่งออกวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ หรือคุณค่าไปสู่นานาประเทศ และกลายเป็นผู้นำในระดับโลกต่อไป
คุณแพทองธารอธิบายต่อว่า นั่นเป็นเหตุผลที่เราจะต้องอาศัยความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อออกแบบนโยบายการส่งออกวัฒนธรรม ทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนในด้านงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ แรงงาน กระทรวงพาณิชย์มาช่วย
สนับสนุนเรื่องการค้าการตลาด
และอีกหลายกระทรวงที่ต้องเข้ามาร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากอุตสาหกรรมหลายท่านมาช่วยกันชี้เป้าอุปสรรค ปัญหา
เพื่อนำไปสู่การปลดล็อก และช่วยกันออกแบบนโยบายสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเติบโต เพื่อขยายตลาดค้าขายสินค้าทางวัฒนธรรมไปสู่ตลาดโลก
โดยหัวใจของการพัฒนาซอฟต์เพาเวอร์ในครั้งนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
คือ อุตสาหกรรม และศักยภาพของคน
สำหรับการพัฒนาศักยภาพของคนเราจะอยู่ในนโยบาย
OFOS - one family one soft power : นโยบายพัฒนาศักยภาพคน พัฒนาคนให้มีสกิลสร้างสรรค์ ขยับทักษะแรงงานไทยให้มีทักษะแรงงานขั้นสูง
เรื่อง “หนึ่งครอบครัว หรือ soft power” นี่แหละที่จะเป็นกิจกรรมที่ท้าทายที่สุดของโครงการนี้
เพราะต้องลงรายละเอียดที่จับต้องได้ ต้องสื่อสารให้ทุกครัวเรือนเข้าใจว่า soft power คืออะไร และแต่ละบ้านจะเสาะแสวงหา “พรสวรรค์” และ “พรแสวง” ของตนอย่างไร
รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่สำเร็จแน่นอน
เอกชนเองก็ยังต้องการความชัดเจนว่าจะเดินหน้าให้มีความชัดเจน, คล่องตัวและกระจายให้กว้างขวาง ไม่เหลื่อมล้ำ ไม่เลือกปฏิบัติอย่างไร
คุณแพทองธารบอกว่า ในด้านอุตสาหกรรมจะตั้ง
THACCA : องค์กรพัฒนาอุตสาหกรรม
โมเดลเดียวกับ KOCCA ในเกาหลีใต้ หรือ TAICCA ไต้หวัน
เกาหลีใต้เป็นตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จด้าน soft power จนเราต้องเอามาเป็นตัวอย่าง
ล่าสุดก็คงจะเป็นภาพยนตร์เรื่อง Parasite และบอยแบนด์ BTS
อะไรคือ soft power?
ผู้รู้ที่เกาหลีใต้บอกว่า มันคือความสามารถของประเทศในการโน้มน้าวการตัดสินใจของผู้อื่น โดยการชักจูงหรือร่วมเลือกมากกว่าการบีบบังคับ
แทนที่จะใช้วิธีการเสนอแลกเปลี่ยน soft power อาศัยความสัมพันธ์เชิงบวกกับวัฒนธรรมของประเทศ นโยบายต่างประเทศ และคุณธรรมทางการเมืองเพื่อดึงดูดผู้อื่นให้กลายมาเป็น “แฟนคลับ” อย่างสมัครใจ
จนกลายเป็นผู้สนับสนุนและกระจายข้อดีทั้งหลายทั้งปวงออกไปอย่างกว้างขวาง
ผู้คนที่ทำเรื่อง soft power ในประเทศที่ประสบความสำเร็จเน้นว่าความสำเร็จของการสร้าง “พลังดึงดูด” ที่ว่านี้จะต้องทำอะไรสำคัญหลายๆ ประการ เช่น
ลงทุนด้านการศึกษา : พัฒนาระบบการศึกษาระดับโลกที่ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติและส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวิชาการและความร่วมมือกับสถาบันทั่วโลก
ส่งเสริมภาษาและสื่อ : ส่งออกสื่อทั้งข่าว บันเทิง และวารสารศาสตร์ ที่สะท้อนถึงค่านิยมและมุมมองของประเทศ ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของประเทศเพื่อเพิ่มการสื่อสาร
สนับสนุนศิลปะและการกีฬา : ส่งเสริมวงการศิลปะและการกีฬาที่เจริญรุ่งเรือง การจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ การสนับสนุนนักกีฬา และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมและการกีฬาสามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศได้
มีส่วนร่วมในการทูตสาธารณะ : ใช้การทูตอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกกับประเทศอื่นๆ มีส่วนร่วมในการเจรจา และความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาระดับโลก
ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ : รักษาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและมีส่วนร่วมในการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ความสำเร็จทางเศรษฐกิจสามารถเพิ่มอิทธิพลและความน่าดึงดูดของประเทศได้
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการพัฒนา : ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ประเทศที่ต้องการ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมไมตรีจิตและความร่วมมืออีกด้วย
การดูแลสิ่งแวดล้อม : แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ ความเป็นผู้นำในการจัดการกับความท้าทายระดับโลกสามารถเพิ่มชื่อเสียงของประเทศได้
เน้นจุดแข็งและค่านิยมที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล นวัตกรรม นโยบายทางสังคม หรือด้านอื่นๆ
สร้างและรักษาพันธมิตร : สร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งและความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ที่มีคุณค่าและเป้าหมายคล้ายคลึงกัน ความร่วมมือสามารถขยายอำนาจอ่อนของประเทศได้
มีส่วนร่วมกับประชาคมโลก : เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์กร ฟอรัม และข้อตกลงระหว่างประเทศ การมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในการกำกับดูแลระดับโลกแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลก
การทูตทางวัฒนธรรม : ใช้กิจกรรมทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยน และความคิดริเริ่มเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการรับรู้เชิงบวกของประเทศ สนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและศิลปินเพื่อแสดงวัฒนธรรมของประเทศในต่างประเทศ
ส่งเสริม Soft Power ในพื้นที่ดิจิทัล : ใช้โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มดิจิทัล และตัวตนออนไลน์เพื่อมีส่วนร่วมกับผู้ชมทั่วโลก มีส่วนร่วมในการทูตดิจิทัลเพื่อแบ่งปันความคิดและมุมมอง
ภาพใหญ่ดูเหมือนสวยงาม แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ เป็นอย่างไร พรุ่งนี้ว่าต่อครับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แม้จะแจกเงินหมื่นปีหน้า เศรษฐกิจไทยก็โตไม่ถึง 4%
ใกล้สิ้นปีต้องส่องดูเศรษฐกิจของทั้งปีนี้กับปีหน้า...และต้องเล็งไปข้างหน้าด้วยว่ารัฐบาลเศรษฐาจะสามารถ “กู้มาแจก” ในปีหน้าได้หรือไม่
คิสซิงเจอร์: ‘นักการทูตอันปราดเปรื่อง’ หรือ‘อาชญกรสงครามผู้โหดเหี้ยม’
เฮนรี คิสซิงเจอร์ที่เพิ่งเสียชีวิตในวัย 100 ปีเมื่อวานเป็นนักการทูตและนักยุทธศาสตร์สหรัฐฯที่น่าทึ่ง, น่ากลัว, และน่าสนใจที่สุดคนหนึ่ง
แถลง ‘แก้หนี้นอกระบบ’: เริ่มด้วยคำหรูจบด้วยคำถาม
ผมตั้งใจฟังคำแถลง “แก้หนี้นอกระบบ” ของนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน มากเพราะอยากรู้จริงๆ ว่าในทางปฏิบัติทำอย่างไรจึงจะให้ “หนี้ใต้ดิน” กลายเป็น “หนี้บนดิน”
นักการทูตไทยยุคดิจิทัล ต้องสร้างใหม่อย่างเร่งรีบ
ต่อแต่นี้ไป นโยบายต่างประเทศจะต้องมองให้ครบทุกมิติของประเด็นการเมือง, เศรษฐกิจ, ความมั่นคงและสังคมที่กำลังปรับเปลี่ยนไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง
ไทยจะ ‘วางตำแหน่ง’ ในเวทีโลกตรงไหน?
นโยบายการต่างประเทศไทย “ยุคใหม่” ที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้เป็นอย่างไร? เมื่อวานได้นำเอาบางตอนของแนวทางวิเคราะห์สถานการณ์โลกที่ปรับเปลี่ยนไปของรองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่, คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร, มาเล่าให้ฟังแล้ว
การทูตเชิงรุกให้ไทย กลับอยู่จอเรดาร์โลก
นโยบายต่างประเทศของไทยกำลังจะเดินไปบนเส้นทางไหนอย่างไรจะมีผลต่อการทำให้ประเทศไทย “กลับสู่จอเรดาร์โลก” หรือไม่