“ผัดกะเพรา” แม้ถูกเรียกเป็นอาหารสิ้นคิด แต่ถือเป็นอาหารจานด่วนที่ครบทุกรสชาติ ถูกปากคนทุกชนชั้น และยังดังไกลไปทั่วโลกด้วยอัตลักษณ์ รสชาติที่เผ็ดและกลิ่นหอมของสมุนไพรไทย
สำหรับวัตถุดิบในการทำผัดกะเพราประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ พริก กระเทียม ใบกะเพรา และเนื้อสัตว์ที่ใช้ในการทำผัดกะเพรา ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว กุ้ง ปลาหมึก หรือแม้แต่ปลา หอยแมลงภู่ เนื้อปู ฯลฯ ได้ทั้งหมด
ล่าสุด “รองเนเน่” หรือ รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนประชาชนถ่ายรูปอวดการทานผัดกะเพรา แสดงความภาคภูมิใจที่อาหารไทยได้ติดอันดับ 3 เมนูอาหารที่ดีที่สุดในโลกปี 2023 มาร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้นานาชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้น
จากที่ TasteAtlas จัดอันดับ 100 เมนูอาหารที่ดีที่สุดในโลกปี 2023 พบว่าอาหารไทย เมนูผัดกะเพรา ได้อันดับ 3 และยังมีข้าวซอย อันดับที่ 6 แกงพะแนง อันดับที่ 10 ต้มข่าไก่ อันดับที่ 15 และ แกงมัสมั่น อันดับที่ 73 นั้นเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าต่างประเทศได้รู้จักประเทศไทย และรู้จักอาหารไทยมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ทั้งนี้เมนูเหล่านี้ยังถือเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยอีกด้วย
“รัดเกล้า” ยืนยันว่า “เศรษฐา ทวีสิน ”นายกรัฐมนตรีและ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทยอย่างมาก เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้ง เป็นการส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก
รัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร องค์ความรู้ในท้องถิ่น หรืองานศิลปะ วัฒนธรรม ก็ตาม ทั้งสิ้นล้วนเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการได้ทั้งนั้น
“การที่อาหารไทยได้ติดอันดับเมนูอาหารที่ดีที่สุดในโลกปี 2023 ถือเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเป็นอย่างมาก เพราะทำให้นานาประเทศได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้รู้จักอาหารไทย และอื่นๆของประเทศด้วย ดังนั้นขอเชิญชวนประชาชน ร่วมแสดงความยินดี กับการจัดอันดับในครั้งนี้ด้วย” ”รองเนเน่“ กล่าวเชิญชวน
ถึงเวลา “ผัดกะเพรา” ดังไปทั่วโลก ด้วยรสชาติอาหารที่สะท้อนภูมิปัญญา และวิถีชีวิตของคนไทย
ช่างสงสัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อำลา‘ก.ท่องเที่ยวฯ’
เป็นช่วงเวลาของการอำลาตำแหน่งและการย้ายกระทรวงของบรรดารัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่บางคนต้องออกไปถาวร หรือบางคนแค่ย้ายกระทรวง ทำให้ช่วงนี้เห็นบรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของบรรดาข้าราชการกระทรวงต่างๆ ที่จัดงานอำลาให้กับเจ้ากระทรวงของตัวเอง
ไม่ได้หมายถึงเรื่องใด
ช่วงปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นั้นเป็นที่วิพาษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เมื่อ อ. ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และ ศาสตราภิชานประจำคณะนิติศาสตร์
สายล่อฟ้า
ปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐา1/1 เกิดเหตุตามหลังมากกมาย ที่กล่าวขานกันมากก็กรณี “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ลาออกจากการเป็นรมว.ต่างประเทศ เรียกว่าทุกสายตาคอการเมืองพุ่งเป้าไปที่นั่น
“วันสบายๆ”
การเมืองช่วงนี้ร้อนแรงไม่แพ้กับอากาศจริงๆ เพราะนอกจากจะร้อนแล้วยังระอุไปทั่ว ทั้งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงรายชื่อรัฐมนตรี ทั้งพ้นความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยมีชื่อที่คุ้นหน้าคุ้นตากันหลายชื่อ
บันทึกหน้า 4
ควันหลงการปรับ ครม.เศรษฐา 1/1 เกิดดรามามากมาย โดยเฉพาะจากคนที่ผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่พ้นกระทรวงสาธารณสุข กลับไปทำงาน สส. รวมถึงกรณี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่หลุดจากตำแหน่งรองนายกฯ
นิ่งแบบนี้มีลุ้น
ช่วงตั้ง ครม.เศรษฐา 1 ใหม่ๆ หลายคนคาดการณ์ สมศักดิ์ เทพสุทิน คงนั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีอยู่ทำเนียบรัฐบาลไม่นาน เพราะถนัดงานกระทรวงมากกว่า