2024: ปีมังกรทอง หรือมังกรพ่นพิษ?

ใกล้สิ้นปี 2023 ทั้งโลกกำลังมองไปที่ 2024 ด้วยความไม่แน่ใจว่าปีหน้าจะเป็นปี “มังกรทอง” หรือ “มังกรพ่นไฟ” หรือ “มังกรอาละวาดฟาดหาง” หรือไม่

เอาเฉพาะในเวทีระหว่างประเทศก็มี “จุดพร้อมปะทุ” ที่อาจกลายเป็นสงครามบานปลายได้ในหลายๆ จุดทีเดียว

บางคนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “สงครามเย็นรอบสอง” แต่อีกบางคนกลัวว่ามันจะเป็น “จุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สาม”

และสงครามคราวหน้าอาจจะมาในรูปแบบที่แปลกและแตกต่างไปจากเดิมอย่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

เพราะมันจะไม่มีเฉพาะมิติของการทหารเท่านั้น หากแต่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ, สังคมและสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างซับซ้อนและร้อนแรงเกินกว่าที่คาดได้อย่างน่ากลัว

วันก่อน ผมแลกเปลี่ยนกับคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ในรายการ “โลกเปลี่ยนสี” โดยตั้งหัวข้อว่า “ปีหน้าจะดีขี้นหรือแย่ลง” โดยมองจากหลายๆ มิติ

มีประเด็นๆ คาดการณ์สำหรับปีหน้าที่น่าสนใจบางแง่มุมดังนี้

เชื่อว่าสงครามยูเครนมีโอกาสบานปลายสู่สงครามมหาประลัย ถ้าตะวันตกยังขยายตัวสนับสนุนอาวุธเพิ่มขึ้น

-ถ้าความขัดแยังทะเลแดงขยายตัวสู่อ่าวเปอร์เซีย จะกระทบเศรษฐกิจโลกและพลังงานอย่างหนัก

-ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ความขัดแยังกับจีนจะขยายตัวจากปัญหาเศรษฐกิจ (สงครามการค้ารอบใหม่?) สู่น่านน้ำทะเลจีนใต้กับฟิลิปปินส์และไต้หวัน จะกระทบเศรษฐกิจเอเชียอย่างหนัก

-ความขัดแยังภายในพม่าอาจจะขยายตัวถ้ารัฐบาลทหารเอาไม่อยู่ จะกระทบไทยและจีนอย่างหนัก

-ถ้าคิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ ยิงขีปนาวุธเพิ่มและหนักขึ้นอย่างที่เห็นมาตลอดปีที่ผ่านมา ปัญหาในเอเชียตะวันออกจะขยายตัวและบานปลายกว้างขวางยิ่งขึ้น

-ด้านเศรษฐกิจก็น่ากังวลไม่ใช่น้อย ปัญหา NPL ของอสังหาริมทรัพย์จีนกำลังลุกลามลากเศรษฐกิจจีนที่มีผลทำให้จีนลดการเติบโต ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนและการท่องเที่ยวลดลง และเดินทางออกนอกประเทศจะหดตัว อีกทั้งกำลังซื้อจะต่ำเตี้ย

-ความสัมพันธ์จีนกับอินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นอ่อนไหว ไม่มีความแน่นอนว่าสองยักษ์แห่งเอเชียนี้จะร่วมมือกันได้มากน้อยเท่าไร สำหรับอินเดียแล้วไม่มีข่าวดีมากนักในความสัมพันธ์กับจีน เพราะอยู่ในระดับที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในด้านการค้าขายระหว่างกัน เพราะขาดดุลการค้ากับจีนหลายเท่าตัว อินเดียจึงหันมาเดินนโยบายตามอเมริกามากขึ้นพอสมควรเพื่อที่จะคานอำนาจของปักกิ่ง

-ส่วนที่มีภาพเป็นทางบวกมากขึ้นข้างก็น่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนาม

สี จิ้นผิง เพิ่งไปเยี่ยมผู้นำเวียดนามและลงนามใน MOU 35 ฉบับ ซึ่งมีผลที่น่าจะเชื่อได้ว่าการลงทุนจีนในเวียดนามจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

-ด้านบวกอีกมิติหนึ่งน่าจะเป็นความสัมพันธ์จีนกับรัสเซียและอาหรับ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีความใกล้ชิดมากที่สุดในประวัติศาสตร์

นั่นคือขั้วอำนาจใหม่ที่จะมาสร้างอำนาจการต่อรองตะวันตกเพิ่มขึ้น

-ในอีกอ้านหนึ่ง ไม่เกินอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ ขนาดเศรษฐกิจและความเจริญของจีนจะเท่าเทียมหรือแซงอเมริกา ซึ่งหมายความว่าความเป็นประเทศมหาอำนาจโลกจะค่อยๆ เปลี่ยนมือ อย่างน้อยก็จะไม่ใช่โลกที่มีพระเอกคนเดียว อาจจะเป็นโลกสองขั้ว แปรจาก unipolar world เป็น multipolar world

-ปีหน้าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเห็นว่าเอเชียจะไม่เหมือนเดิมในทุกๆ ด้าน และหนึ่งในมิติใหม่คือความขัดแยังกับอเมริกาจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม

-อีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวกับไทยโดยตรงคือการค้าการลงทุนจีนในอาเซียนมีมากที่สุด ทำให้อิทธิพลจีนในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะจีนจะมีบทบาทคึกคักที่สุดแง่ความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค

-สำหรับประเทศไทย จะมีโอกาสที่ไทยเป็นสะพานแห่งการคมนาคมและการค้าการลงทุนที่สำคัญที่ของจีนสู่อาเซียน หากเราวางยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติอย่างถูกต้อง แม่นยำและจริงจัง

-อีกด้านหนึ่งจะมีชาวจีนดีและจีนเทามาอยู่กันในไทยเพิ่มขึ้น มากกว่าทุกวันนี้อีกมากมายมหาศาล จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยทั้งบวกและลบมากสุด

-รัฐบาลไทยต้องมาวางแผนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ให้รัดกุมที่สุด เพื่อลดการขาดทุนหรือล้มละลายของธุรกิจไทยให้มากสุด

-การคบค้าสมาคมกับจีนมีทั้งบวกและลบในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ไทยต้องมาคิดในระบบป้องกันในระยะยาวแต่เนิ่นๆ ต้องไม่ปล่อยให้ปัญหาบานปลายจนแก้ไม่ได้

-การเปลี่ยนแปลงของอนาคตในภูมิภาคไม่ว่าเป็นขั้วอำนาจเก่าหรือใหม่ คนไทยทุกคนต้องเรียนรู้ให้มากที่สุด

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของภาพใหญ่ระดับโลก, ภูมิภาคและประเทศไทยที่จะต้องเตรียมการตั้งรับสถานการณ์ที่พอจะมองเห็นจากวันนี้

แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังมีความเป็นไปได้ที่โลกจะเข้าสู่ภาวะผันผวนปรวนแปรที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่อาจชะงักงันเพราะความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ

หรืออาจเกิดโรคระบาดร้ายแรงแบบเดียวกับโควิด-19 หรือหนักกว่านั้น

หรืออาจจะเกิดภัยธรรมชาติที่หนักหน่วงรุนแรงที่มาตรการที่มีอยู่ในระดับโลกไม่อาจจะรับได้

ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าเราจะต้องเตรียมการตั้งรับ “ความไม่แน่นอน” ที่ไม่มีใครคาดคะเนล่วงหน้าได้

บทเรียนอันเจ็บปวดจากกรณีโควิด-19 สอนเราว่า

ถึงคราววิกฤตจริงๆ เราได้แต่พึ่งพาตัวเราเองเท่านั้น

นโยบาย “ตัวใครตัวมัน” ยังใช้ได้ในทุกวิกฤตระดับภูมิภาคและระดับโลก!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ