ต้องลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศโลก นำไปสู่ภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรง ก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากับปัญหาด้านสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมของคนทั่วโลก ดังนั้นปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวและเริ่มมองหาทางออกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ส่งผลให้ “พลังงานสะอาด” เริ่มถูกพูดถึงและเป็นที่สนใจในวงกว้าง ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่จะช่วยยับยั้งการเกิดวิกฤตโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน

ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในอนาคตข้างหน้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) หรือ GHG จะกลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อต้นทุนในการดำเนินธุรกิจและกำลังส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะข้างหน้า ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยกำลังพิจารณา พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2567

ซึ่งจะมีการนำภาษีจากการปล่อย GHG หรือภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) มาใช้เพื่อควบคุมปริมาณการปล่อย GHG ของภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ในต่างประเทศ ธุรกิจส่งออกจะได้รับแรงกดดันจากมาตรการ EU-CBAM ที่จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2569 และจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจากสินค้าที่มีการปล่อย GHG สูง

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า สัดส่วนการปล่อย GHG ในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมันและถ่านหิน ในการผลิตไฟฟ้า ขนส่ง การผลิต และจากกระบวนการในภาคอุตสาหกรรม จากกระบวนการผลิต เช่น CO2 จากการผลิตซีเมนต์ NO2 จากการผลิตปุ๋ย เป็นต้น โดยมีสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

นอกจากนี้ยังพบความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอน หรือ Emission Intensity ของบริษัทจดทะเบียนไทยในภาคสาธารณูปโภคและภาควัสดุ มีความเข้มข้นของการปล่อย GHG สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยในภาคสาธารณูปโภคมีการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลจากก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก่อให้เกิด GHG โดยสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในประเทศจากพลังงานหมุนเวียนมีเพียง 7% เทียบกับทั่วโลกที่ 17% ส่วนบริษัทจดทะเบียนไทยในภาควัสดุที่มีการปล่อยมลพิษ เช่น การผลิตซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็ก เป็นต้น

 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุว่า การผลิตซีเมนต์มีความเข้มข้นคาร์บอนมากที่สุดและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก เนื่องจากกระบวนการผลิตมีการปล่อย GHG และยังไม่สามารถหากระบวนการหรือวัตถุดิบมาทดแทนเพื่อลด GHG ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเทคโนโลยีที่จะช่วยลดการปล่อยมลพิษของการผลิตซีเมนต์ ได้แก่ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน หรือ CCUS ซึ่งจะใช้กระบวนการทางเคมีในการดักจับ CO2 ไม่ให้ออกสู่อากาศภายนอก แต่เทคโนโลยีดังกล่าวยังอยู่ในขั้นทดลองและใช้เงินลงทุนสูง อีกทั้งทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว จึงยังไม่คุ้มค่าที่จะนำมาใช้

ในขณะที่การผลิตวัสดุอะลูมิเนียม เหล็ก ปุ๋ย เคมีเกษตร บรรจุภัณฑ์โลหะและแก้วของบริษัทจดทะเบียนไทย มีความเข้มข้นคาร์บอนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก เนื่องจากการผลิตวัสดุดังกล่าวเป็นกระบวนการผลิตขั้นกลางและปลาย เมื่อเทียบกับปริมาณ GHG ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการต้นทาง

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ธุรกิจในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า ซีเมนต์ เหล็ก ปุ๋ย และอะลูมิเนียม จะเผชิญกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดจากมาตรการของไทยและต่างประเทศ จาก พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ต้องรายงานปริมาณการปล่อย GHG ในขณะที่ในระยะยาว แรงกดดันด้านนโยบายจะรุนแรงมากขึ้นจากการการเก็บภาษีคาร์บอนในประเทศ การจ่ายค่าธรรมเนียม EU-CBAM

โดยภาครัฐควรแก้ไขกฎระเบียบเพื่อเปิดเสรีด้านพลังงานไฟฟ้า ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานสะอาด ให้เงินทุนสนับสนุนงานวิจัยสำหรับภาคอุตสาหกรรม และนำ Carbon Tax มาใช้ เพื่อจูงใจให้ธุรกิจและผู้บริโภคหันมาใช้สินค้า GHG ต่ำเช่นเดียวกับภาคเอกชนจะต้องลดการใช้จากเชื้อเพลิงฟอสซิล หันมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงาน และใช้วัสดุ GHG ต่ำ หรือใช้วัสดุหมุนเวียน.

 

บุญช่วย ค้ายาดี

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%

ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน

เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่

ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน

องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)

แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส

‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม

ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม

ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด

ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ส่งผลให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ทั้งการฟื้นฟูถนน–สะพานที่ถูกตัดขาด การขุดลอกคูคลอง