เมื่อสหรัฐกับจีนใช้นโยบาย de-risk คือ ‘ลดความเสี่ยงต่อกันและกัน’ ก็แปลว่า 2 ยักษ์จะลดการไปมาหาสู่กันด้านเศรษฐกิจ...คำถามที่ประเทศไทยควรถามทันทีก็คือ...ใครจะสามารถฉวยจังหวะนี้สร้างโอกาสให้กับตัวเอง
ภาพที่เห็นวันนี้คืออินเดียและอินโดนีเซียขยับได้เร็วกว่าใครในการถมช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที
ปีที่แล้วอินเดียมีกิจกรรมเฉลิมฉลองมากมายหลายอย่าง
เช่น Apple เปิดร้านเรือธงแห่งแรกในประเทศ และย้ายการผลิตบางส่วนจากจีนไปยังอินเดียด้วย
อีกทั้งยังมีบริษัทอื่นๆ อีกตามมาอีกเป็นพรวน
ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ คือ Micron Technology ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาตกลงที่จะสร้างโรงงานเซมิคอนดักเตอร์มูลค่า 2.75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 1 แสนล้านบาท) ในรัฐคุชราต
โดยไมครอนทุ่ม 825 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 30,000 ล้านบาท) และอินเดียควักเงินทุนส่วนที่เหลือ
อีกรายหนึ่งคือ Applied Materials ในสหรัฐ ประกาศว่าจะสร้างศูนย์วิศวกรรมความร่วมมือในเบงกาลูรู ด้วยเงินลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 14,400 ล้านบาท)
บริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกแห่งคือ Lam Research จะเริ่มโครงการฝึกอบรมวิศวกรชาวอินเดีย 60,000 คน
Foxconn ซึ่งตั้งอยู่ในไต้หวัน เป็นผู้รับจ้างผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุดของโลก จะเพิ่มจำนวนพนักงานและการลงทุนในอินเดียเป็น 2 เท่าภายในปีนี้
อินเดียกำลังจะเปล่งประกายขึ้นเมื่อทั้งสหรัฐและจีนใช้นโยบาย “ลดความเสี่ยง” (de-risk) ด้วยการลดการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป
นโยบายเช่นว่านี้กำลังมีผลปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ส่งผลให้เกิดการเขย่าระบบเดิมในหลายภูมิภาค
นอกจากอินเดียแล้ว อีกประเทศหนึ่งที่ดูเหมือนจะได้ “ส้มหล่น” คล้ายกันคือ อินโดนีเซีย ซึ่งมีทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เพราะภาวะการแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์เช่นกัน
ทั้ง 2 ประเทศใช้ยุทธศาสตร์ผสมผสานของภูมิรัฐศาสตร์กับนโยบายภายในประเทศ
จะเปรียบไปก็เหมือนเรื่อง When Titans Clash (เมื่อยักษ์ใหญ่ปะทะกัน) ที่มีผลทำให้ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในอนุทวีปและสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะได้รับประโยชน์อย่างไร
เพื่อไทยเราจะได้ใช้เป็นกรณีศึกษาเพื่อปรับนโยบายของเราให้สร้าง “โอกาสในวิกฤต” ได้เฉกกัน
ในกรณีของอินเดีย เรื่องราวของ Apple ที่ตัดสินใจไปลงทุนรอบใหม่ที่อินเดียนั้นเกิดจากการที่ประเทศนั้นสามารถปรับนโยบายที่เกี่ยวกับมีบุคลากรที่มีทักษะเหมาะสม รวมถึงระเบียบเกี่ยวกับที่ดิน สถานที่ ระบบขนส่ง
คาดการณ์ว่า Apple จะมีอัตราเติบโตของรายได้ 15% และจำนวนคนใช้เพิ่ม 20% จากการลงทุนในอินเดียในอีก 5 ปีข้างหน้า
อินเดียได้ประโยชน์จากการจ้างงานคนท้องถิ่นและการส่งผ่านเทคโนโลยี
เข้าทางนโยบายนายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ที่ประกาศการรณรงค์โครงการ "Make in India" เมื่อปี 2014
ไม่มีผู้นำรัฐบาลประเทศไหนจะเพิกเฉยกับภูมิหลังทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อีกต่อไปหากจะบริหารประเทศให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ
อินเดียกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัล และเชื่อว่านี่อาจจะเป็น Zero-Sum Game หรือ “เกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์”
นั่นหมายความว่าอะไรที่หลุดจากจีนอาจมาเติมเต็มให้อินเดียได้...หากรู้จักบริหารความเปลี่ยนแปลงให้ทันสถานการณ์
นโยบาย “คบกับทุกฝ่าย” ของอินเดีย (โดยไม่ต้องประกาศว่า “เป็นกลาง”) ทำให้ประเทศตะวันตกต้องมีปฏิสัมพันธ์กับอินเดีย
แต่ขณะเดียวกันโมดีก็ไม่ได้หันหลังให้กับรัสเซีย
ตรงกันข้าม อินเดียกลับนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมากขึ้น และการค้าทวิภาคีของ 2 ประเทศนี้ก็เร่งตัวขึ้นแม้ความขัดแย้งในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป
อีกด้านหนึ่ง อินเดียก็สานสัมพันธ์กับสหรัฐเพิ่มมิติขึ้นเช่นกัน
ความร่วมมือใหม่ระหว่างสหรัฐและอินเดียในด้านการป้องกัน การสำรวจอวกาศ และการผลิตเซมิคอนดักเตอร์มาในรูปการลงนามในข้อตกลงเมื่อปีที่แล้ว
หนึ่งในข้อตกลงความร่วมมือเปิดทางให้ขายโดรน SeaGuardian MQ-9B ที่ผลิตในอเมริกาให้อินเดีย
General Electric ของสหรัฐก็ผูกมิตรเป็นพันธมิตรกับ Hindustan Aeronautics ร่วมกันผลิตเครื่องยนต์ไอพ่นสำหรับเครื่องบินของอินเดีย
ไม่แต่เท่านั้น อินเดียยังได้ลงนามในข้อตกลงอาร์เทมิส ซึ่งถือได้ว่าเป็นพิมพ์เขียวสำหรับความร่วมมือในการสำรวจอวกาศระหว่างประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมในแผนการสำรวจดวงจันทร์ที่มีอเมริกาเป็นแกนนำ
องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และองค์การวิจัยอวกาศของอินเดียก็ตกลงที่จะปฏิบัติภารกิจร่วมกันในสถานีอวกาศนานาชาติในปีนี้
ท่ามกลางภารกิจทางการทูตระหว่างประเทศ รวมทั้งในฝรั่งเศส มีการกล่าวถึงการหดตัวของอินเดียในเรื่องเสรีภาพทางศาสนาและสื่อ...แต่เป็นเพียงการเอ่ยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้มีการพูดถึงการลงโทษด้วยการคว่ำบาตรเหมือนที่ประเทศตะวันตกทำกับชาติอื่นที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่า
องค์กรสิทธิเสรีภาพนานาชาติออกรายงานต่อเนื่องว่า ภายใต้รัฐบาลของโมดี อาชญากรรมจากความเกลียดชังทางศาสนาได้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการรุมประชาทัณฑ์ชาวมุสลิมที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายครั้ง
สหรัฐตระหนักถึงความสำคัญของความสัมพันธ์กับอินเดียในระดับยุทธศาสตร์
เพราะ โจ ไบเดน เห็นความสำคัญของอินเดียจนทำเนียบขาวต้องมองข้ามเรื่องอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์
แต่ภูมิศาสตร์การเมืองก็ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่กำหนดแนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับมหาอำนาจทั้ง 2 ค่าย
ประเทศจีนมีประชากรสูงวัย ซึ่งมากกว่าร้อยละ 30 จะมีอายุมากกว่า 60 ปี ภายในปี 2035
ในทางกลับกัน อินเดียแซงหน้าจีนเมื่อปีที่แล้วจนกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 1.4 พันล้านคน มีอายุต่ำกว่า 30 ปี
ดังนั้นการสร้างเศรษฐกิจจึงไม่ได้เกี่ยวกับการผลิตเพื่อการส่งออกเท่านั้น แต่ยังรวมเข้ากับศักยภาพทางการตลาดขนาดใหญ่ แรงดึงดูดมหาศาลของชนชั้นกลางที่ร่ำรวยมากขึ้น
หรือหากไม่ร่ำรวยก็ต้องมีชนชั้นกลางที่มีอำนาจในการใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ
แต่ก็ใช่ว่าอินเดียจะไม่มีปัญหาของตนเอง
อินเดียมีปัญหา “คอขวด” ในหลายๆ ด้าน แต่ก็กำลังพยายามแก้ไขโดยปรับปรุงการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ
เช่น โครงข่ายทางหลวงของประเทศจะขยายออกไปพร้อมเพิ่มขีดความสามารถทางรถไฟในการขนส่งสินค้าและโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าเพื่อให้เข้าถึงไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
แผนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการสร้างสนามบิน ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ และสนามบินน้ำใหม่ประมาณ 200 แห่ง เพื่อส่งเสริมการบิน
อินเดียยังเสนอเงินอุดหนุนและอำนวยความสะดวกทางการค้าเหมือนที่หลายๆ ประเทศทำอยู่
เช่น โครงการจูงใจที่เชื่อมโยงกับการผลิตสำหรับภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิตโมดูลเซลล์แสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ขั้นสูง
รัฐคุชราตของอินเดียเจรจากับญี่ปุ่นและบริษัทสหรัฐ ขณะที่โมดีจับตาดูศูนย์กลางการผลิตชิป
แต่ใช่ว่าจะไม่มีความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความน่าเชื่อถือของระบบจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปจนถึงประเด็นด้านลอจิสติกส์ และกฎระเบียบที่นักลงทุนต่างชาติอ้างเป็นอุปสรรคบ่อยๆ
สำหรับบริษัทที่คิดจะย้ายห่วงโซ่อุปทานจากจีนไปยังอินเดีย ปัญหาที่ต้องแก้ทันทีคือ การขาดบุคลากรที่มีทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการ
แม้ว่าอินเดียจะมีแรงงานราคาถูกไม่น้อย แต่คุณภาพของแรงงานยังอยู่ไกลจากมาตรฐานความต้องการในอีกหลายด้าน
อีกปัญหาหนึ่งคือ อินเดียยังคงมีระดับความยากจนและภาวะทุพโภชนาการในระดับสูง
เกือบ 12% ของประชากรอาศัยอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจนตามมาตรฐานของธนาคารโลก
ขณะที่ในประเทศจีน อัตราความยากจนเดียวกันนั้นแทบจะเป็นศูนย์
หากพูดถึงความสามารถด้านเทคโนโลยี จีนมีผู้สำเร็จการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับอินเดีย
ปักกิ่งยังทุ่มลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา และอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีชีวภาพอย่างเป็นรูปธรรม
(พรุ่งนี้ : อินโดนีเซียก็ได้ประโยชน์จากการเผชิญหน้าของยักษ์)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


