หลายคนเป็นห่วงประเทศไทยและตั้งคำถามว่าประเทศไทยของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และหลายคนก็หวั่นไหวว่า ถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ เห็นทีเลือกตั้งคราวหน้าเราคงจะได้พรรคส้มเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เพราะพรรคของเขาอาจจะชนะแบบ Landslide ก็ได้ ทั้งนี้เพราะพรรคการเมืองเก่าๆ ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมาหลายปียังมีนักการเมืองหลายคนที่เป็นแกนนำของพรรค และมีตำแหน่งในการบริหารบ้านเมือง ยังเป็นนักการเมืองไดโนเสาร์ที่เล่นการเมืองแบบน้ำเน่า โกงกิน คอร์รัปชันเชิงนโยบาย มีผลประโยชน์ทับซ้อน เล่นพรรคเล่นพวก การกระทำเช่นนี้สร้างโอกาสให้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่อ้างว่าจะมาเปลี่ยนประเทศไทย จะมายุติการโกงกิน จะล้างบางนักการเมืองที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ วาทกรรมเช่นนี้ก็ทำให้พรรคของพวกเขาโกยคะแนนได้แล้ว
ข้อความการหาแนวร่วมให้มาสนับสนุนพรรคของคนรุ่นใหม่นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในช่วงการหาเสียงก่อนเลือกตั้งเท่านั้น แต่มีการรณรงค์อย่างมียุทธศาสตร์ต่อเนื่อง มีการจัดทำค่ายฝึกอบรม มีการบรรยายในสถานศึกษาหลายระดับ มีการแสดงปาฐกถา มีการปราศรัย มีการให้สัมภาษณ์ มีการโพสต์ใน social media หัวข้อในการพูดจาของเขาก็จะมีเรื่องปราบคอร์รัปชันบ้าง เรื่องเปลี่ยนแปลงประเทศไทยบ้าง เรื่องความเป็นประชาธิปไตยบ้าง เรื่องการเมืองภาคประชาชนบ้าง หัวข้อเหล่านี้เมื่อพวกเขาต้องการไปดำเนินการในสถานศึกษาใดๆ ผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีใครกล้าปฏิเสธ เพราะถ้าปฏิเสธก็จะโดนกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ล้าสมัย ไม่ขานรับความเจริญ แต่เมื่อดูรายชื่อผู้บรรยาย ผู้นำการสัมมนา แล้วคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองต้องตกใจ เพราะจุดยืนของพวกเขาคือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และเวลาพวกเขาบรรยายก็จะใส่ความคิดที่เป็นจุดยืนทางการเมืองที่สะท้อนแนวความคิดแบบปฏิกษัตริย์นิยมเข้าไปด้วย
การทำงานเพื่อการรณรงค์เผยแพร่แนวคิดของพวกเขาเป็นการทำงานที่ได้ผล พวกเขาสามารถครอบงำความคิดของเยาวชน Gen Y และ Gen Z ที่ไม่ซาบซึ้งพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จ เยาวชนจำนวนหนึ่งกลายเป็นคนบ้าเสรีภาพอย่างไร้ขอบเขต เรียกหาความทัดเทียมที่ไม่มีอยู่จริง มีทัศนคติชังชาติ ด้อยค่าประเทศไทย และมีทัศนะแบบปฏิกษัตริย์นิยม
ถ้าหากนักการเมืองไดโนเสาร์ยังเล่นการเมืองน้ำเน่า โกงกินจนเป็นคดีความ เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมกันอย่างที่ผ่านมา (และอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต) คนที่เบื่อนักการเมืองไดโนเสาร์ก็จะเลือกพรรคส้มที่บอกว่าพวกเขาจะมาเปลี่ยนประเทศไทย คนไทยจำนวนหนึ่งจะหันมาสนับสนุนนักการเมืองรุ่นใหม่ที่บอกว่าจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยไม่สนใจว่าพวกเขาต้องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ที่เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ สถานการณ์เวลานี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายส้มตั้งใจทำสงครามข่าว แต่ฝ่ายอนุรักษ์ไม่คิดจะทำสงครามข่าว มันก็ต้องแพ้ในการปลูกฝังความคิดให้แก่คนในสังคมแน่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะช่วยกันดำรงความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อีกนานแค่ไหน เยาวชนที่เป็นแนวร่วมของพวกปฏิกษัตริย์นิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ ในที่สุดพรรคส้มก็จะครองเมือง แล้วประเทศไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร จะเจริญขึ้นแบบที่เป็นการพัฒนา หรือจะแย่ลงแบบที่เป็นความเสื่อม
เมื่อไหร่นักการเมืองชั่วๆ จะมีสำนึกรักประเทศชาติกันเสียที เมื่อไหร่สื่อมวลชนจะเลิกเชียร์นักการเมืองชั่วๆ เมื่อไหร่นักวิชาการจะเลิกขายวิญญาณแล้วช่วยบิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์และทางกฎหมายช่วยนักการเมืองเลวๆ เมื่อไหร่นักการเมืองระดับลิ่วล้อจะเลิกช่วยนักการเมืองแกนนำที่เป็นคนชั่ว เมื่อไหร่ข้าราชการจะเลิกสนับสนุนนักการเมืองชั่วให้โกงบ้านกินเมือง เมื่อไหร่ประชาชนจะเลิกเห็นแก่ได้ และหยุดเลือกนักการเมืองชั่วๆ ที่เอาโครงการประชานิยมมาหลอกเอาคะแนน ถ้ายังเป็นกันแบบนี้ประเทศไทยคงเป็น failed state ที่จะมีต่างชาติมาเป็น deep state ครอบงำอธิปไตยของประเทศเรา ถึงวันนั้นเราจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง คิดดูนะ
อย่าเฉยกันนักเลย อย่ามัวแต่คิดว่าประเทศไทยไม่ใช่ของเราคนเดียว ถึงเราไม่ทำอะไรก็มีคนอื่นมาช่วยทำ แล้วเราจะรอด อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นทำแทนเราเลย พวกเราทุกคนที่รักชาติรักแผ่นดินมาช่วยกันทำเถอะ สำหรับคำถามที่ว่าประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คำตอบก็คือ “ที่เราเป็นเช่นนี้เพราะเรามีคนไทยจำนวนหนึ่งจากหลายฝ่าย เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว”
- นักการเมืองชั่วอยากเข้ามาโกงกิน เอาโครงการประชานิยมชวนให้คนเลือกเข้ามาเป็นผู้แทน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล
- ประชาชนจำนวนหนึ่ง (เป็นคนหมู่มากเสียด้วยสินะ) เห็นแก่ประโยชน์จากโครงการประชานิยม จึงเลือกพรรคที่หลอกล่อด้วยผลประโยชน์จากโครงการประชานิยม
- สื่อที่ไร้จรรยาบรรณ รับผลประโยชน์ แล้วเชียร์นักการเมืองชั่วๆ สื่อประเภทนี้แหละ เป็นกลุ่มคนที่ทำร้ายประเทศ ด้วยการทำข่าวบิดเบือนให้ประโยชน์แก่นักการเมืองเลวๆ
- นักวิชาการอยากเป็นที่ปรึกษา อยากได้ตำแหน่ง ก็ช่วยเป็นปากเสียงอธิบายให้คนยอมรับความชอบธรรมของนักการเมืองชั่ว
- ข้าราชการบางคนเห็นแก่ยศและตำแหน่ง รวมทั้งผลประโยชน์อื่นๆ ก็จะช่วยสนับสนุนให้นักการเมืองชั่วๆ ได้อำนาจ และมีโอกาสฉ้อราษฎร์บังหลวง
- พวกนักการเมืองระดับลิ่วล้อ อยากได้ตำแหน่ง อยากได้อำนาจ ยอมเป็นขี้ข้ารับใช้นักการเมืองเลวๆ ที่เป็นหัวขบวน
สุดท้าย คนพวกนี้ก็ทำร้ายประเทศไทย ด้วยความโลภ ความเห็นแก่ตัว โดยไม่เห็นแก่ประเทศชาติ แล้วอ้างว่าทำเพื่อประชาชน การอ้างประเทศชาติและประชาชน มันเป็นเพียงวาทกรรมที่ฟังดูดี ทำให้ผู้คนมองว่าคนที่พูดเป็นคนดีที่ตั้งใจเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชน แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาจำนวนมากทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากกว่า ดูได้จากการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของคนหลายๆ คน มีสักกี่คนที่มีความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่กำกับกิจการของกระทรวงที่พวกเขาได้รับตำแหน่ง การที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับงานในกระทรวงที่ตนเองต้องกำกับนั้น เขาจะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนได้อย่างไร ลองคิดดูดีๆ ทำไมพวกเขาจึงยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ตามโควตาที่ได้มา พวกเขาพิจารณาความสามารถของตนเองในการจะทำหน้าที่ก่อนรับตำแหน่งหรือไม่ หรือคิดแต่เพียงว่าขอให้ได้ตำแหน่งก็พอ ไม่ได้สนใจว่าเมื่อได้ตำแหน่งแล้วจะทำหน้าที่ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเพียงใด
ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ของหลายๆ ฝ่าย จะทำให้คนเบื่อการเมืองแบบเก่าๆ และหันไปเลือกพรรคส้มที่เป็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ ด้วยความหวังว่าจะทำให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้สนใจว่าจะเปลี่ยนไปในทาง “พัฒนา” หรือไปในทาง “เสื่อม” น่าเป็นห่วงนะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักการเมืองไม่ทำชั่ว...ไม่ต้องกลัวรัฐประหาร
นายกรัฐมนตรี 2 คนที่มาจากตระกูลชินวัตรต้องถูกยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ทำให้นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นหมายเลข 1 ของตระกูลชินวัตรมีความประหวั่นพรั่นพรึงการทำรัฐประหารของทหารเป็นอย่าง
'หิริ-โอตตัปปะ'คือวาระแห่งชาติ!!!
คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความอาย หรือจะเรียกภาษาพระ ภาษาบาลี ประมาณว่า หิริ-โอตตัปปะ ก็คงพอได้ นับวันมันชักเป็นอะไรที่ ขาดแคลน
'เห็นลิ้นไก่' แก้ กม.กลาโหม
ป่วนกันทั้ง "กรมปทุมวัน" หลังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. มีคำวินิจฉัยกรณีตำรวจยศ พ.ต.อ. ตำแหน่งนักบิน (สบ 5) รายหนึ่ง
ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568
ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ
ดร.เสรี ลั่นรังเกียจ วาทกรรมแซะสถาบัน
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า เกิดวาทกรรมใหม่ "ใบอนุญาตที่ 2"
เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร
ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง