เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร

ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง เพราะคณิตศาสตร์ทางการเมืองทำให้เรามองเห็นว่า ถ้าไม่ใช่พรรคส้มก็ต้องเป็นพรรคแดงที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พรรคส้มกับพรรคแดงจับมือทำ MOU ร่วมกับพรรคเล็กๆ อีกหลายพรรคจัดตั้งรัฐบาล โดยมีหัวหน้าพรรคส้มเตรียมตัวเป็นรัฐบาล แต่แล้วด้วยความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 ทำให้หัวหน้าพรรคส้มไม่สมหวัง ได้เป็นเพียงนายก Social

เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นโอกาสของพรรคแดงที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยร่วมกับพรรคที่เรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษ์ ถือว่าเป็นรัฐบาลสลายขั้วเข้าสู่ภาวะของความปรองดอง บางคนก็ดีใจด้วยความหวังว่าเราจะหลุดจากกับดักของความแตกแยก แต่บางคนก็ผิดหวัง FC แดงผิดหวังที่พรรคที่เขารักมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค “ลุง” ที่คุณหนูแผดเสียงสัญญาบนเวทีหาเสียงและการให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ร่วมกับพรรค “ลุง” และยังอาจหาญว่าจะปิดสวิตช์ 3 ป. ส่วนสลิ่มก็ผิดหวังว่าอุตส่าห์นอนกลางดินกินกลางถนน ทนเดินผ่านร้อนหลายกิโลหลายร้อยวันเพื่อไล่รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม ไร้จริยธรรม แต่สุดท้ายก็ไปร่วมเป็นรัฐบาล สนับสนุนคนของพรรคแดงให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องทำใจ เพราะคณิตศาสตร์การเมืองมันบังคับให้ต้องเป็นเช่นนี้

ได้คนของเสื้อแดงมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผลงานไม่ประทับใจประชาชน เพราะความไม่ประสีประสาทางการเมืองและการต้องทำตามการชี้นิ้วบงการของเจ้าของพรรคตัวจริงที่อยู่ในฐานะนักโทษหนีคดี และผลของการทำตามสั่งในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ทำให้โดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแต่งตั้งคนเคยติดคุกเนื่องจากละเมิดอำนาจศาล เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องหลุดจากตำแหน่งไป และผลของการวินิจฉัยก็จะเป็นตราบาปที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตลอดไป

การหลุดไปของนายกรัฐมนตรีจากพรรคแดงคนแรก ทำให้สลิ่มจำนวนมากไม่สบายใจเพราะคาดการณ์กันว่าคุณหนูที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีบุคลิกที่ดีงาม จะได้รับการผลักดันโดยพ่อให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และแล้วความกังวลของสลิ่มก็เป็นจริง คุณหนูได้เป็นนายกรัฐมนตรีท่ามกลางความวิตกกังวล ความเครียด ความโกรธ ความไม่พอใจของสลิ่มทั้งหลาย เพราะไม่ว่าจะมองมุมใด พิจารณาจากมิติไหน ยังไงเธอก็ไม่ใช่ ไม่ควร ไม่เหมาะจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นประมุขของฝ่ายบริหารตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ บางคนบอกว่าประเทศไทยไม่ใช่สนามเด็กเล่น บางคนก็บอกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ที่ฝึกงาน เครียดไป โกรธไป กังวลใจไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากติดตามดูการทำงานของเธอ

ในการพิจารณาคุณสมบัติของเธอหลายๆ ด้าน ผู้คนมากมายบอกว่าคุณสมบัติแบบนี้ อย่าว่าแต่มาสมัครงานเป็นผู้บริหารในองค์กรเลย แค่มาสมัครเป็นพนักงานธรรมดาก็จะไม่รับ แต่เมื่อเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะคณิตศาสตร์การเมืองบังคับ เราก็ต้องติดตามดูคุณหนูฝึกงาน เวลาผ่านไป เมื่อมีการประเมินผลงาน ต้องบอกได้เลยว่าเธอไม่ผ่าน ก่อนที่จะแสดงความรู้ความสามารถในการทำงาน ผู้คนเห็นบุคลิก กิริยามารยาท การปฏิบัตตนให้เหมาะสมกับบริบทตำแหน่งหน้าที่การงาน และกาลเทศะ เธอก็ไม่ผ่านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่ไม่รู้จักกาลเทศะและพิธีการต่างๆ การพูดจาที่แสดงถึงความด้อยปัญญา และท่าทีของคนที่มีอัตตาสูง การกระทำที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง และการแสดงท่าทีในการตอบคำถามนักข่าวที่แสดงให้เห็นการไม่มีความรู้บ้าง ความไม่เข้าใจสถานการณ์บ้าง ความมีตรรกะที่พิกลพิการบ้าง ที่สำคัญแสดงความเป็นคุณหนูที่ยโสอวดดี ไม่สนใจว่าใครจะรู้สึกอย่างไรกับเธอ อย่างที่คนสมัยใหม่เขาพูดว่า ไม่แคร์สื่อบ้าง ไม่สนสี่สนแปดบ้าง

ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์เธออย่างไร จะติเพื่อก่อ จะล้อเลียน จะด่าทออย่างสุภาพ หรือจะด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงหยาบคายอย่างไร เธอไม่สนใจ มิหนำซ้ำ เธอยังบอกอีกว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ หรือล้อเลียนเธอนั้นเป็นคนที่มีอคติ คิดลบ มีข้อมูลไม่เพียงพอ เป็นพวกที่ไม่มั่นใจตนเอง จึงต้องดูถูกให้เธอดูต่ำด้วยหวังว่าตัวเองจะดูสูงขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศ เป็นบุคคลสาธารณะ เธอไม่ควรจะเถียงหรือตำหนิประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์เธอ สิ่งที่เธอควรทำก็คือการเก็บเอาคำวิพากษ์ วิจารณ์เหล่านั้นไปพินิจพิจารณา เพื่อที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น

บัดนี้เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ถ้าหากเป็นการทำงานบริษัทเอกชนก็ถึงเวลาประเมินการทำงานที่ผ่านมาแล้งว่าผ่านโปร (การทดลองงาน) หรือไม่ ขอตอบเน้นๆ ตรงนี้เลยว่าเธอไม่ผ่านโปร เพราะจากวันแรกจนถึงวันนี้ เราไม่ได้เห็นพัฒนาการใดๆ เลย เธอทำสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่ไม่เหมาะสม สิ่งที่ไร้รสนิยม สิ่งที่ผิดกาลเทศะไม่รู้กี่เรื่อง จนดูเหมือนจะเป็นการทำผิดรายวันเลยก็ว่าได้ สำนวนไทยสำหรับคนทำผิดพลาดที่น่าอายนั้น เขาพูดว่า “ปล่อยไก่” สำหรับเธอตั้งแต่ทำงานมา ปล่อยไก่วันละตัวบ้าง สองตัวบ้าง สามตัวบ้าง ป่านนี้ไก่คงแทบจะหมดเล้าแล้ว

  • คุณสมบัติก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์
  • ความสามารถก็ไม่มี ไม่มีผลงานใดๆ ที่แสดงว่าเป็นคนเก่งในระดับผู้นำ
  • บุคลิกก็ไร้เสน่ห์ด้วยท่าทีของคนยโสอวดดี ตอบโต้คนวิพากษ์วิจารณ์แบบตรรกะพิการ
  • พูดจาผิดๆ ถูกๆ พูดเองก็ไม่ได้ ต้อง-อ่านจาก iPad ขนาดอ่านยังผิด
  • ไปต่างประเทศก็ไม่เข้าใจพิธีการ (protocol) ทางการทูต
  • การแต่งตัวก็ผิดกาลเทศะ ไร้รสนิยม
  • ทำเรื่อง Soft Power ก็ไม่เห็นเป็นผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด

ถ้าหากการทำงานของเธอเป็นเสมือนการเรียนหนังสือหลายๆ วิชา คะแนนที่ออกมาน่าจะเป็น F ทุกวิชา คือ สอบตกหมด ทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง ด้านการต่างประเทศ ด้านวัฒนธรรม ด้านการบริหารจัดการ ด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ สิ่งที่เคยแผดเสียงสัญญาบนเวทีหาเสียง ทำอะไรได้บ้าง บอกว่าจะลดหนี้เพิ่มรายได้ ทำได้ไหม บอกว่าจะเป็นคนออกไปขายสินค้าเกษตรให้ต่างชาติให้ได้ราคาดี จะทำได้กี่โมง ค่าแรงขั้นต่ำ 600 เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 25,000 บาท จะได้ปีไหน ที่บอกว่า คนไทยมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ จะเกิดขึ้นวันใด เมื่อไหร่จะพูดเองได้อย่างถูกต้อง เมื่อไหร่จะเลิกไถ iPad เมื่อไหร่จะเลิกใช้พรายกระซิบ เมื่อไหร่จะทำสิ่งที่เชิดหน้าชูตาประเทศไทยในเวทีโลกด้วยความรู้ ความเข้าใจ และการทำตนให้ถูกต้องกับพิธีการต่างๆ

เมื่อไม่ใช่ ทำไมไม่ถอนตัวออกไป เพื่อให้โอกาสประเทศไทยให้ได้ผู้นำที่ใช่ เวลานี้นอกจากประชาชนจำนวนหนึ่งวิตกกังวลกับการมีผู้นำไร้ความสามารถแล้ว ยังตกใจกับคำพูดของคนเป็นพ่อที่บอกว่าลูกสาวได้ DNA ของเขาไปเต็มๆ แล้ว DNA ที่ว่านี้ มัน DNA ด้านไหน เป็นด้านที่ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องระเห็จไปเป็นสัมภเวสีนอกประเทศไทยเกือบ 20 ปีหรือเปล่าคะ...สยองนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บ่อนการพนัน กระสันกัน...เพื่อใคร

บ่อนการพนันเสรีที่ถูกกฎหมายเป็นเรื่องที่รัฐบาลพยายามที่จะให้เกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย เพราะมองเห็นว่ารายได้ที่จะได้มาจากการเปิดบ่อนในรูปแบบของการท่องเที่ยว

'ประโยชน์'และ'โทษ'ของ'ความแก่'

ว่าไปแล้ว ความแก่ มันน่าจะมีอยู่ 2 คม 2 ด้านด้วยกัน...คือมีทั้งด้านที่เป็น ประโยชน์ และด้านที่ออกจะเป็น โทษ อะไรประมาณนั้น โดยเฉพาะสำหรับด้าน สังขาร หรือเนื้อหนัง

เคาะระฆังตั้ง 'นายพัน'

มีเสียงการันตีบัญชีแต่งตั้ง "นายพลสีกากี" ยุค ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กุมบังเหียน "กรมปทุมวัน" ปีแรก จาก บิ๊กเอก-พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์

ถามไม่ถูกคน...สัปดนไหมล่ะ

ตั้งแต่มีการประกาศว่าแพทองธารคือ หนึ่งในรายชื่อที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลายคนเริ่มเป็นห่วงประเทศชาติ เพราะผู้ที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็พอจะอนุมานได้ว่า แ

เมื่อ'ธรรมชาติ'สำแดงเดช!!!

ไม่ใช่แค่ได้มีโอกาส หึ่มฮึม-ฮึ้มหึ่มม์ม์ม์ ตามลีลาบทเพลง “พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว-ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ” ของท่านบรมครู คุณครู ล้วน ควันธรรม เท่านั้น แต่ต้องเรียกว่า...ถึงขั้น งั่กก์ก์ก์ๆๆ

นายพลเล็กสะดุด!

เหมือนจะครบ เหมือนจะจบแบบ "แฮปปี้เอนดิง" บัญชีแต่งตั้ง "นายพล" ล็อตสอง ตำแหน่งรองผู้บัญชาการ (รองผบช.) ถึงผู้บังคับการ (ผบก.) วาระจำประจำปี 2567