
ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน...จนแทบไม่เหลืออะไรจะอ่าน เลยต้องหันไปคว้า พระคัมภีร์ไบเบิล เล่มหนาๆ ระดับหนุนหัวนอนได้สบายๆ มาไล่เรียงกลับไป-กลับมา รอบที่ 4 รอบที่ 5 ไปแล้วเห็นจะได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเสียเที่ยว เพราะยิ่งอ่านยิ่งค้นพบอะไรต่อมิอะไรที่เป็น ประโยชน์ พอที่จะนำมาปรับใช้กับโลก หรือแม้กระทั่งกับสังคมไทยในปัจจุบันได้ไม่มาก-ก็น้อย แม้ว่าสิ่งที่เขียน ที่บรรยาย เอาไว้ในพระคัมภีร์เล่มนี้ จะยืดเยื้อยาวนานไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันปีมาแล้วก็ตาม...
อย่างเช่นในบท ปัญญาจารย์ ที่ระบุว่าผู้เขียน ผู้แต่ง คือทายาทของ กษัตริย์ซาโลมอน พระราชาผู้ได้ชื่อว่าเปี่ยมไปด้วย สติ-ปัญญา สูงล้ำ สูงเยี่ยม ชนิดหาใครทัดเทียมแทบไม่ได้ ที่อ่านไป-อ่านมาอาจต้องนึกไปว่าน่าจะเป็นกษัตริย์ผู้นี้นี่แหละ ที่ลงทุนรจนาขึ้นมาด้วยตัวของตัวเอง และก็เคยเป็นสิ่งที่ อันตัวข้าพเจ้าเอง เคยหยิบยกมาอ้างถึงในหลายครั้ง หลายครา มาแล้วด้วยกัน โดยเฉพาะต่อข้อสรุปที่แปลก แตกต่าง ไปจากบทสรุปของผู้ที่เชื่อและศรัทธาต่อสิ่งที่เรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า ในบางแง่ บางมุม...
คือถึงแม้ว่า ท่านปัญญาจารย์ ท่านจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่ซ้ำไป-ซ้ำมาเหมือนกับลมที่หวนไป-หวนมา น้ำที่ไหลไป-ไหลมา และสุดท้ายก็ลงสู่ทะเล สู่มหาสมุทร ดังที่เคยเป็นมาและเป็นไปจนต้องจัดเป็น อนิจจัง-อนิจจัง...เสียทั้งสิ้น แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น...ท่านยังมองเห็น อนิจจัง อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “มีคนชอบธรรมที่รับเคราะห์ (รับผล) อันเป็นเคราะห์ที่คนอธรรมควรรับ และมีคนอธรรมที่รับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่เคราะห์ที่คนชอบธรรมควรรับ” หรือประมาณว่า ทำดีได้ชั่ว-ทำชั่วได้ดี อะไรทำนองนั้น แต่นั่นก็คือสิ่งที่ พระเจ้า ท่านดลบันดาลให้เป็นไป ตามกรรมวิธีอันลึกลับโดยที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...
กระนั้นก็ตาม พระเจ้า ผู้ดลบันดาลให้อะไรต่อมิอะไรเป็นไปแบบ อนิจจัง-อนิจจังเสียทั้งสิ้น ในนิยามความหมายของ ท่านปัญญาจารย์ นั้น ย่อมไม่ใช่พระเจ้าแบบธรรมดาๆ ทั่วไปที่จะสามารถเข้าถึง-เข้าใจกันได้ง่ายๆ หรือดังที่ท่านสรุปไว้ว่า... “แล้วข้าพเจ้าจึงเห็นภารกิจของพระเจ้าว่า...มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจในพระภารกิจที่บังเกิดอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์หาได้ไม่ เพราะว่ามนุษย์จะออกแรงค้นหาสักปานใดก็ยังจะค้นหาให้พบไม่ได้ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่านักปราชญ์คนใดนึกเอาว่า เขาเข้าใจแล้ว เขาก็ยังค้นหาไม่พบ” แต่ยังไงๆ... ท่านปัญญาจารย์ ท่านก็ยังคงเชื่อมั่น-ศรัทธา เคารพ ยำเกรง ในสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า อย่างไม่คิดจะผันแปรไปเป็นอื่น โดยเฉพาะในฐานะผู้ที่ได้ประทานสิ่งที่ถูกต้อง-ดีงาม รวมทั้ง สติ-ปัญญา ให้กับผู้ที่ค้นหา หรือผู้ที่ยึดมั่นอยู่ในความถูกต้อง ชอบธรรม และบรรดาความดีงามทั้งหลาย...
เพราะก็ด้วย สติ-ปัญญา ที่ไม่ว่าจะได้รับการประทานจากพระผู้เป็นเจ้า หรือการฝึกฝน พัฒนา ขึ้นด้วยตัวเอง สิ่งที่ ท่านปัญญาจารย์ ท่านพยายามชี้ให้เห็นก็คือว่า ภายใต้ความ อนิจจัง-อนิจจังเสียทั้งสิ้น นี่แหละ มันยังมีสิ่งที่เรียกว่า วาระ และ วิธีการ ที่บรรดาผู้ซึ่งมีสติ-ปัญญาทั้งหลาย ต้องพยายามทำความเข้าใจเอาไว้ให้จงหนัก วาระที่ทำให้คนเร็วไม่ชนะการวิ่งเสมอไป หรือฝ่ายที่มีกำลังไม่ชนะสงครามเสมอไป คนเก่ง คนฉลาด ไม่ได้รับผลพวงแห่งความเก่ง ความฉลาด หรือไม่ได้มั่งคั่ง ร่ำรวย เสมอไป ฯลฯ และเพราะด้วยเหตุแห่งความไม่รู้-ไม่เข้าใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่า วาระ และ วิธีการ นั่นเอง ที่ทำให้ “ปลาติดอยู่ในอวนอันร้ายฉันใด นกถูกดักติดอยู่ในบ่วงแร้วฉันใด วาระอันร้ายก็มาถึงบรรดาบุตรของมนุษย์ และเขาก็ถูกวาระอันร้ายนั้น ดักจับติดโดยฉับพลันเหมือนกันฉันนั้น...”
นี่...อันนี้นี่แหละที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะในระดับโลก หรือในระดับสังคมไทยบ้านเราที่บรรดา มาตรฐานความดี-ความชั่ว ได้ถูกปรับเปลี่ยนจนหามาตรฐานใดๆ แทบไม่ได้ หรือชักหนักไปทาง ทำดีได้ดี...มีที่ไหน-ทำชั่วได้ดี...มีถมไป อะไรประมาณนั้น หรือขณะที่พยายามวิ่งหนีเสือ ก็ดันไปปะเอาจระเข้ ถึงพยายามแฉลบออกข้าง ก็ยังอุตส่าห์เจอเหี้ย เจอตะกวด ฯลฯ เจออะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทาง ชั่วๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าต้องเจอกับอะไรก็ตาม อันนั้น...ย่อมหนีไม่พ้นต้องถือเป็น อนิจจัง-อนิจจังเสียทั้งสิ้น นั่นเอง คือล้วนแล้วแต่ต้องตายโหง ตายห่า กันในวาระสุดท้าย ตามที่ พระผู้เป็นเจ้า ท่านได้กำหนด กฎเกณฑ์ เอาไว้แล้วนั่นแล...
ดังนั้น...สำหรับผู้ที่มี สติ-ปัญญา ผู้ที่พยายามเข้าถึง-เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังคงยึดมั่นอยู่ในความดี-ความงาม-ความจริงทั้งหลาย คงต้องพยายามหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า วาระ และ วิธีการ ให้หนักๆ เข้าไว้ ไม่ว่าจะต้องเจอเสือ เจอจระเข้ เจอตะกวด หรือเจออะไรต่อมิอะไรก็ตาม ก็อย่าถึงกับต้องไปติดบ่วง ติดอวน ติดแร้ว เอาง่ายๆ หันมาอาศัย สติ-ปัญญา รวมทั้งความยึดมั่น ศรัทธา ต่อ พระผู้เป็นเจ้า เป็นเข็มมุ่งและแนวทางไว้โดยตลอด เพราะภายใต้ดวงอาทิตย์นี้...สิ่งที่เรียกว่า วาระ มันคงต้องมาถึงวันใด-วันหนึ่งจนได้ ส่วนจะส่งผลดี-ผลร้าย อันนั้น...ย่อมต้องขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า วิธีการ นั่นเอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความจริงเทียมทำร้ายสังคม
การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)
น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'
ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้
เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'
ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม
ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569
ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว
เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน
ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์
แด่..อาจารย์'สุธี ประศาสน์เศรษฐ'
หลังออกจากห้อง ไอซียู เมื่อเกือบ 2-3 ปีที่แล้ว...หนึ่งในผู้ที่โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ไปเชียร์ให้สู้ๆ เข้าไว้ ก็คือ ดร.สุธี ประศาสน์เศรษฐ ผู้ที่แนะนำตัวเองด้วยสำเนียงติดตลกมาทางโทรศัพท์


