
ราคาน้ำมัน ถือเป็นต้นทุนในทุกๆ ด้านของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคการผลิตอย่างอุตสาหกรรม การบริการ การขนส่ง ล้วนแล้วแต่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วไป ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง ราคาน้ำมันได้ถีบตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนกระทบไปทุกภาคส่วน ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ที่ผ่านมารัฐได้ออกมาตรการลดราคา ยอมเสียเงินภาษี เพื่อช่วยดูแลค่าครองชีพของประชาชนให้บรรเทาลง
ล่าสุด คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็น ประธาน ได้ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้สอดรับกับสถานการณ์และความเหมาะสม
โดยพิจารณาจากแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เริ่มมีรายรับเพิ่มขึ้น โดยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงสำหรับกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงรวม 1 บาทต่อลิตร ซึ่งการปรับลดราคาดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 2 ระยะ ครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร ได้แก่ ครั้งที่ 1 วันที่ 28 มีนาคม 2568 และครั้งที่ 2 วันที่ 4 เมษายน 2568 เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชน
ซึ่งการปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันเบนซิน-ดีเซลครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานระบุว่า เพื่อเป็นของขวัญให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล คิดเป็น 2 ใน 3 ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งหมด เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัว กระตุ้นการเดินทาง และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 100 ล้านบาทต่อวัน แบ่งเป็น การใช้งานน้ำมันดีเซล 67 ล้านลิตรต่อวัน เป็นเงิน 67 ล้านบาท และกลุ่มน้ำมันเบนซิน 32 ล้านลิตรต่อวัน เป็นเงิน 32 ล้านบาท
ส่วนการปรับลดลงนั้น ทำไมต้องเป็น 2 ครั้ง ไม่ปรับทีเดียวเลย 1 บาท พีระพันธุ์ ระบุว่า หากมีการปรับลดลงรวดเดียว 1 บาท อาจจะส่งผลกระทบกับผู้ให้บริการ การค่อยๆ ปรับลดลงจะทำให้ผลกระทบคู่ค้าน้อยลง และไม่ต้องมีประเด็นโต้แย้งมากมาย และยังเป็นผลดีต่อประชาชนที่ราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซลลดลงแน่นอน ขณะที่ในส่วนของราคาก๊าซหุงต้ม LPG (ภาคครัวเรือน) จะยังคงตรึงราคาที่เท่าเดิม พร้อมทั้งย้ำว่า การลดราคาครั้งนี้เงินที่จะอุดหนุนจะช่วยจนกว่าไม่มีเหตุการณ์อะไร และบอกไม่ได้จะลดนานแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงต้นปี (มกราคม 2568-วันที่ 23 มีนาคม 2568) พบว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเฉลี่ยกว่า 8,000 ล้านบาท/เดือน ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จากเดิมเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 กองทุนติดลบอยู่ที่ 75,945 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 29,009 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 46,936 ล้านบาท ปัจจุบันสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปรับลดลงเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2568 เหลือติดลบ 60,052 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบ 14,063 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,989 ล้านบาท
“กบน.ยืนยันความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานให้กับประชาชน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงทำหน้าที่ดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมและเป็นธรรม พร้อมมุ่งมั่นดำเนินงานภายใต้หลักการเปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชน และทุกภาคส่วน” นายพีระพันธุ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันยังคงเป็นตัวแปรสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงค่าครองชีพของประชาชน ปัญหาน้ำมันราคาแพงส่งผลกระทบไปทั่วโลก แต่ละประเทศต่างต้องการใช้น้ำมันราคาถูก และประเทศไทยไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างรอบด้านที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางที่ยังคุกรุ่น มาตรการภาษีของสหรัฐ ขณะที่จีนเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
ดังนั้น การปรับลดราคาน้ำมันลงเป็นเพียงแค่การบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น สิ่งที่ทุกคน ทุกภาคส่วนต้องทำ คือ ใช้พลังงานประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจช่วยให้เรารอดพ้นจากวิกฤตพลังงานในอนาคตได้.
บุญช่วย ค้ายาดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด
เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย
ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP
อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ
ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย
ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า


