
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ “หนี้ครัวเรือนไทย” แม้จะมีการชะลอตัวลงบ้างแล้วแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง โดยจากข้อมูลของ “สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์” ที่ระบุว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 3/2567 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยอยู่ที่ 89.8% ต่อจีดีพี แต่หากพิจารณาจากคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือน ถือว่า “ยังปรับลดลงต่อเนื่อง” โดยพบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป หรือ NPL ต่อสินเชื่อรวม มีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 14.1% หรือคิดเป็น 8.78% ต่อสินเชื่อรวม ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นในสินเชื่อเกือบทุกประเภท ยกเว้นสินเชื่อทางการเกษตร
ทั้งนี้ยังมีข้อมูลที่ระบุอีกว่า หนี้ที่ผิดนัดชำระมากที่สุดคือ “หนี้บัตรเครดิต” โดยมีสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงถึง 12.58% รองลงมาคือ สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล โดยการเพิ่มขึ้นของ NPL นั้น หลักๆ เป็นผลมาจากรายได้ของแรงงานที่ยังไม่เพิ่มมากขึ้นจนเพียงพอที่จะทำให้ตัวเลขของหนี้ครัวเรือนและ NPL ปรับตัวลดลงได้ แม้ว่ามูลค่าจีดีพีจะมีการขยายตัว 2-3% ก็ตาม โดยรายได้ของแรงงานมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงก็ทำให้แรงงานมีภาระที่ต้องใช้หนี้ในแต่ละงวดจำนวนมาก จนทำให้ต้องมีการกู้ยืมเงินจากแหล่งอื่นๆ เพื่อมาหมุนเวียนชำระหนี้
สอดคล้องกับข้อมูลของ ฟิทช์ เรตติ้งส์ ที่่เชื่อว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา อาจจะยังเป็นแรงต้านสำหรับการเติบโตของสินเชื่อและการปรับตัวดีขึ้นของคุณภาพสินทรัพย์
โดยยอดสินเชื่อจำนำทะเบียนรถในปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 11% ถือเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงจากอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ในช่วงปี 2563-2566 ที่ระดับ 31% ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของผู้ประกอบการ 3 รายใหญ่ของประเทศไทย เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เติบโตช้าและหนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของอุตสาหกรรมถดถอยลง โดยจากข้อมูลของ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” พบว่า สินเชื่อค้างชำระเกิน 90 วันของอุตสาหกรรมยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ของสินเชื่อรวมในปี 2567
ซึ่ง ฟิทช์ เชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์จะยังคงเป็นจุดอ่อนของอุตสาหกรรมในปี 2568 แม้จะมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและมีการประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและลดระดับหนี้สินครัวเรือน
สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ของผู้ประกอบการบางรายนั้นค่อนข้างมีเสถียรภาพ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความระมัดระวังในการให้สินเชื่อในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง และมีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการประเมินสินเชื่ออย่างรวดเร็วและทันเวลา โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (Stage 3) และอัตราส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อ (Credit Cost) ในปี 2567 ของ MTC ปรับตัวลดลงเป็น 2.8% และ 3.0% ตามลำดับ หลังจากที่บริษัทได้ลดสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและการให้เช่าซื้อในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลดลงเหลือ 15% ของพอร์ตสินเชื่อในปี 2567
อย่างไรก็ดี สภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอก็อาจส่งแรงกดดันให้อัตราส่วนทางการเงินด้านคุณภาพสินเชื่อปรับตัวแย่ลงได้ ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมที่มีการให้สินเชื่อในผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันก็ยังมีคุณภาพสินทรัพย์อยู่ระดับที่ค่อนข้างคงที่เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ฟิทช์ เชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลง 0.50% ตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 น่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมในด้านต้นทุนการเงินและอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ โดย ฟิทช์ ไม่คาดว่าจะมีการฟื้นตัวของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนสถานะการเงินของภาคครัวเรือนยังไม่มีความเข้มแข็ง
ด้าน ธีรชาติ จิรจรัสพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย และหัวหน้าคณะทำงานกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ภายใต้สมาคมธนาคารไทย ซึ่งประเมินว่า ตลาดสินเชื่อรถยนต์ในปีนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย แต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้ในแดนบวกหากปัจจัยลบคลี่คลายลง และได้รับแรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมตลาดรถยนต์ในประเทศไทย.
ครองขวัญ รอดหมวน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่
ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด
ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ส่งผลให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ทั้งการฟื้นฟูถนน–สะพานที่ถูกตัดขาด การขุดลอกคูคลอง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย

