เมื่อ 'สลิ่ม' ไร้ทางเลือก

หยุดสงกรานต์ไม่ได้ไปไหนครับ...

ว่างก็นั่งไถโทรศัพท์ดูข่าวสารบ้านเมืองว่า...ไปถึงไหนแล้ว

ก็ไม่ถึงไหนหรอกครับ!

เทศกาลหยุดยาวแบบนี้ นักการเมืองส่วนใหญ่เขาลงพื้นที่เยี่ยมเยียนชาวบ้าน ไม่มีเวลามาให้ข่าว ผิดกับ ๒ พ่อลูก กระหน่ำสัมภาษณ์มา ๒-๓ วันติด วานนี้ (๑๕ เมษายน) ค่อยเบาหูหน่อย

แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในโซเชียล พูดถึงการบ้านการเมืองอยู่เหมือนกัน

เป็นเรื่องของ “กองเชียร์-กองแช่ง”

“วิมล ไทรนิ่มนวล” นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความเอาไว้แหลมคมควรอ่าน

 “.... 'ฝ่ายที่ ๓'

ทุกฝ่าย ทุกพวก ต่างก็ทะเลาะกันเรื่องนักการเมืองของกู-นักการเมืองของมึง นักการเมืองของกูดีกว่านักการเมืองของมึง นักการเมืองของมึงชั่วกว่านักการเมืองของกู จนไม่สำเหนียกว่า 'อะไรกำลังเกิดขึ้น'

นับแต่ฝ่ายอนุรักษนิยมนำเอาทักษิณกลับเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวนั้น ก็มีคนที่ถอยห่างจากฝ่ายอนุรักษนิยมมากขึ้น ทั้งถอยห่างจากสถาบัน ทหารและสถาบันพระมหากษัตริย์

พวกเขาคิดว่า ๒ สถาบันนี้ร่วมมือกันกับทักษิณ จึงรับไม่ได้

ยิ่งต่อมาทักษิณทำตัวเป็นเจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพล ผู้ควบคุมประเทศและรัฐบาล ทำความเสียหาย สร้างความปั่นป่วนในประเทศมากขึ้น แล้วคนที่นำเขาเข้ามาในประเทศไทยไม่มีใครรับผิดชอบจนวันนี้ ก็ยิ่งมีคนถอยห่างมากขึ้นอีก

หากยังปล่อยประเทศชาติให้เป็นไปตามยถากรรม และตามอำนาจของทักษิณ ก็จะไม่แค่มีคนถอยห่าง แต่จะเกลียดชังทั้ง ๒ สถาบันไปเลย

คนพวกนี้ไม่เอาทั้งฝ่ายอนุรักษนิยม และไม่เอาขบวนการส้ม

มันคือการค่อยหล่อหลอมคนกลุ่มใหม่ขึ้นเป็นฝ่ายที่ ๓

ตอนนี้ใครจะเป็น 'ผู้นำหลอมรวมฝ่ายใหม่' ก็เชิญได้เลย ไม่ว่าจะสร้างพรรคการเมืองใหม่ หรือเป็นผู้นำม็อบคนใหม่ แต่ต้องเป็นคน 'หน้าใหม่' จริง ไม่ใช่หน้าเก่าแล้วใส่หน้ากากอันใหม่

ไม่เช่นนั้น เมื่อถึงวันเลือกตั้ง คนกลุ่มที่เทฝ่ายอนุรักษนิยมเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะโนโหวต อีกส่วนหนึ่งจะเลือกพรรคส้ม อีกส่วนหนึ่งช่างแม่งประเทศมัน!

ฝ่ายไหนได้ประโยชน์ก็เห็นกันอยู่แล้ว

หรือใครคิดจะ 'จัดเก็บ' คนกลุ่มนี้ก็ตามอัธยาศัย!

ผมแค่นำมาบอก...”

ใช่ครับการเมืองปัจจุบัน กองเชียร์เป็นเช่นนั้นจริงๆ

นางแบก นายแบก แบกกันไม่ลืมหูลืมตา

ไม่สนใจถูกผิด

เน้นถูกใจไม่ถูกใจมากกว่า

ก็อย่างที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ การเมืองช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษนิยมแตกฉานซ่านเซ็น ไปสร้างดาวคนละดวง

ที่จริงบทความวันนี้เป็นภาคต่อจากวานนี้อย่างไม่ตั้งใจ

วานนี้ตบตูดเอาไว้ว่า

“...สรุป...มีแต่ส้มเท่านั้นที่จะล้มแดง

สลิ่มเป็นได้แค่ไม้ประดับ ทั้งๆ ที่เป็นคู่ต่อสู้กับระบอบทักษิณมาอย่างยาวนาน

เป็นความล้มเหลวที่ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ

ไม่มีการฟื้นฟู มีแต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

นักการเมืองก็แบบนี้แหละครับ ที่ไหนที่้คิดว่าไปแล้วมีอำนาจก็เปิดตูด

ฉะนั้นอย่าไปคิดแก้ปัญหาประเทศกันเลยครับ มันเหม็นขี้ฟัน

แก้ปัญหาพรรคยังไม่ได้เลย....”

วันนี้จึงเป็นภาคต่อเพราะโพสต์ของ คุณวิมล โดยแท้

การเมือง ๓ ฝ่ายได้เกิดขึ้นแล้ว และอาจจะเป็น ๔ ฝ่ายด้วยซ้ำ

แดงฝ่ายหนึ่ง ส้มฝ่ายหนึ่ง อนุรักษนิยมเก่า และอนุรักษนิยมใหม่  (Neo-Conservative)

ประเด็นคือพรรคการเมืองไหนจะมารองรับ กลุ่มใหม่นี้

โพสต์ของ คุณวิมล ตั้งปุจฉาเอาไว้ ต้องเป็นคนหน้าใหม่ถอดด้าม

ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่

ฉะนั้นบรรดาพรรคอนุรักษนิยมในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ที่ยืนยันตัวตนการเป็นพรรคอนุรักษนิยม ด้วยการเปลี่ยนสีโลโก้เป็นสีน้ำเงินสีเดียว

รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์

พรรคพลังประชารัฐ

พรรครวมไทยสร้างชาติ

พรรคเหล่านี้ล้วนมิเข้าข่าย ฝ่ายที่ ๓ หรือ ฝ่ายที่ ๔ แล้วแต่นิยาม เพราะเป็นคนหน้าเก่า มิหนำซ้ำยังร่วมอยู่กับรัฐบาลระบอบทักษิณ

ยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ ที่มีกระแสข่าวพร้อมเข้าเสียบเป็นพรรครัฐบาลเนืองๆ

มาดูสาเหตุว่าทำไม มวลชนอนุรักษนิยม หรือ สลิ่ม ถึงเกิดความเบื่อหน่ายพรรคอนุรักษนิยม

การกลับมาของ “ทักษิณ ชินวัตร” ท่ามกลางกระแสข่าวลือดีลสลายขั้วเพื่อต้านพรรคส้ม

มีการโยงไปถึงหลายฝ่าย ตั้งแต่พรรคการเมืองไปถึงสถาบันฯ

แต่หากมองปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ปรากฏ มีการแอบอ้างถึงสถาบันฯ เป็นระยะ แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ระบบราชการให้ความร่วมมือกับฝ่ายการเมืองแอบทำในสิ่งที่คนไทยทั้งชาติคิดไม่ถึง

มีการเตรียมการอย่างแยบยลเพื่อนำ “ทักษิณ” กลับมาโดยไม่ต้องติดคุกตั้งแต่รัฐบาลลุงตู่

“ลุงตู่” จะรู้หรือไม่ ไม่ทราบได้

แต่คนที่รู้ดีกว่าใครเพื่อนคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในยุคนั้น

เมื่อครั้ง “สมศักดิ์” เป็นรัฐมนตรียุติธรรมใหม่ๆ หลายคนประหลาดใจ เพราะไม่ใช่ทาง

อย่าง "สมศักดิ์" ต้อง คมนาคม อุตสาหกรรม มหาดไทย

ระเบียบกรมราชทัณฑ์ ไม่ต้องผ่าน ครม. คนเป็นนายกรัฐมนตรีอาจไม่รู้ แต่รัฐมนตรียุติธรรมรู้

ฉะนั้นไข่เอเลียนถูกฝังไว้ในรัฐบาลลุงตู่โดยที่หลายคนอาจไม่รู้ แต่ “สมศักดิ์” รู้

และอย่าได้ประหลาดใจว่า ทำไม “สมศักดิ์” ถึงมาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขในรัฐบาลแพทองธาร โดยที่คนในพรรคเพื่อไทยไม่กล้าปริปาก

แต่ทั้งหมดนี้มิได้ทำให้ภาพของพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ ดูดีขึ้นมาในสายตากลุ่มอนุรักษนิยมใหม่

การทำพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่นั้นไม่ง่าย เพราะนอกจากกระแสแล้วต้องมีทุนด้วย

ดูอย่างพรรคอนาคตใหม่ มากับกระแส แต่หากไร้ทุนจาก “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ก็ยากที่จะโต

 ก็ได้แต่เสียดายพรรคการเมืองเก่าอย่างประชาธิปัตย์ครับ ที่ต่อสู้กับระบอบทักษิณมาอย่างยาวนาน และสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

แต่มาวันหนึ่งกลับแพ้ภัยตัวเองเพราะความอยากที่ต่างกัน

ที่จริงหากนักการเมืองมีจิตสำนึกทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ต้องมองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ต้องมองว่าประชาชนต้องการนักการเมืองที่เป็นปากเป็นเสียงและเป็นปึกแผ่นพอ

ไม่ใช่ทะเลาะกันแล้วแยกตัวไปสร้างดาวคนละดวง ปล่อยประชาชนหันรีหันขวางไม่รู้จะไปพึ่งใคร

พรรคการเมืองเก่าได้ชื่อว่าเป็นสถาบันการเมือง ควรอยู่เหนือความอยากส่วนตัวของนักการเมือง การกอบกู้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่ารุ่นไหนต้องหันกลับมาคิดอ่านกันอย่างจริงจัง

ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม เพราะยึดถือพวกใครพวกมัน

ครับ...สงกรานต์ปีนี้ไม่เปียก แต่เป็นฝันเปียกของฝ่ายอนุรักษนิยม

ยังไม่เห็นทางเลยครับว่า พรรคเก่าแก่ที่สุดจะอยู่รอดได้หรือเปล่า

ส่วนพรรคใหม่ คนหน้าใหม่ ฝันเปียกจริงๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สี่จตุรเทพต้านบ่อน

เห็นปรากฏการณ์ร่วมกันตีกาสิโนแล้วขนลุกครับ... วานนี้ (๒๓ เมษายน) มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา มีประเด็นน่าสนใจเพียบครับ

อยากปรับแต่ยังไม่กล้า

ช่วงนี้ข่าวปรับ ครม.มาแรง... ไม่ทราบเพราะแรงส่งจาก นิด้าโพล หรือไม่ แต่ในพรรคเพื่อไทย เริ่มขยับกันแล้ว

ฝ่ายค้านฟันน้ำนม

งงกับตรรกะของพรรคส้มจริงๆ ก่อนซักฟอกรัฐบาลแพทองธาร ตีเกราะเคาะกะลาว่า เป็นยุทธการโรยเกลือ

อมวัดมาพูด

เมื่อวันเสาร์ทัวร์กัวลาลัมเปอร์ลงแถวๆ ทำเนียบรัฐบาลไทย ไม่รู้ว่าตั้งใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทีมงานของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ถึงเอาเพลง “อมพระมาพูด” ของพี่เบิร์ด กับพี่เสก มาประกอบคลิปการเดินทางมาเยือนไทย

มีพ่อเป็นนายกฯ

ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี ๒ คนต่อไปครับ วานนี้ ( ๑๘ เมษายน) "อันวาร์ อิบราฮิม" นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โพสต์ภาพพร้อมข้อความแปลเป็นไทยว่า...