
ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากไม่เชื่อว่าคุณพ่อป่วยจริง แต่น่าจะป่วยทิพย์มากกว่า การอ้างว่าการอยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจถือว่าเป็นการติดคุก 180 วัน ครบที่จะได้รับการพักโทษนอกเรือนจำ ประชาชนส่วนมากก็ไม่เห็นด้วย และคิดว่าคุณพ่อยังไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว และการที่คุณพ่ออยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีการพูดจาเรื่องป่วยทิพย์กันระงมบนพื้นที่ Social media และสื่อสารมวลชน จนมีคนร้องให้ศาลพิจารณาว่าการอยู่ห้อง VVIP ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้นชอบด้วยกฎหมาย
หรือไม่ ศาลยกคำร้อง เพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้เสียหาย หมายความว่าคุณพ่อจะติดคุกหรือไม่ติดคุก คนร้องก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย คือไม่ได้เกิดความเดือดร้อนใดๆ ศาลจึงยกคำร้อง แต่จากการอ่านคำร้องของผู้ร้อง ศาลท่านก็เกิดความสงสัยว่าการจัดการเรื่องคุมขังคุณพ่อของกรมราชทัณฑ์นั้นถูกต้องหรือไม่ เป็นการละเมิดคำตัดสินของศาลหรือไม่ ท่านจึงขอไต่สวนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่รู้กฎหมายก็ออกมาแสดงความคิดเห็นกันว่า การที่ศาลไต่สวนในฐานะผู้เสียหายเอง เช่นนี้ น่าจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคุณพ่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ สื่อมวลชนและผู้คนจำนวนมากก็อยากรู้ว่าคุณพ่อและคุณลูกมีความกังวลใจอะไรหรือไม่ คุณพ่อไม่ได้ออกมาตอบ ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน ไม่ออกมา สทร.อย่างที่เคยทำ แต่ให้ทนายออกมาพูดแทนว่าไม่กังวล ก็แค่ส่งเอกสารให้ศาลไปตามความเป็นจริง และลูกสาวก็ออกมายืนยันว่าคุณพ่อป่วยจริง แต่ผู้คนก็ยังไม่เชื่อ คือ ไม่เชื่อทั้งเรื่องที่ว่าคุณพ่อป่วยจริง และไม่เชื่อว่าพวกเขาไม่กังวล เพราะว่าในระบบการไต่สวนนั้น แม้ว่าศาลจะขอให้โจทก์ อันได้แก่ ป.ป.ช. และอัยการ จำเลยอันได้แก่ คุณพ่อ และยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องก็คืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้จัดการเรือนจำ และหมอโรงพยาบาลตำรวจก็ต้องชี้แจงด้วยว่าการป่วยไข้ และการจัดการเรื่องคุมขังคุณพ่อนั้นเป็นไปตามคำร้องหรือไม่อย่างไร แค่นี้ก็น่ากังวลแล้วว่าจะให้ข้อเท็จจริงได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากศาลจะพิจารณาจากคำชี้แจงของโจทก์และจำเลยแล้ว ในกระบวนการไต่สวนศาลท่านอาจจะเรียกหาข้อมูลจากที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการแพทยสภา คนที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าได้เคยไปเยี่ยมคุณพ่อที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์นั้นฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่าคุณพ่อไม่ได้ป่วยหนักปางตายแบบห่างหมอไม่ได้ และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่กลับไปโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ หรือถ้าหากหายป่วยก็ต้องเข้าเรือนจำ แต่คุณพ่ออยู่ 180 วันโดยไม่มีการให้ข่าวใดๆ เกี่ยวกับอาการเลย โดยอ้างเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเรื่องการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลตามหลักการของ PDPA ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว นักโทษที่ออกมารักษาตัวนอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็มีหลายคน และก็มีการรายงานอาการของนักโทษเหล่านั้นละเอียดยิบและรายวันก็มี ถ้าหากป่วยจริง และไม่ใช่โรคที่น่ารังเกียจหรือน่าอายทำไมต้องปกปิดจนไม่สามารถให้ข้อมูลกับสาธารณชนได้ แบบนี้ไม่ใช่ข้อพิรุธที่ทำให้ผู้คนสงสัยหรือ
คุณพ่อป่วยเป็นอะไร บรรดาข้าทาสบริวารออกมาพูดกันเซ็งแซ่ หวังให้ประชาชนยอมรับว่าคุณพ่อป่วยจริง แต่สิ่งที่พวกเขาพูด มันไม่ตรงกัน จึงเป็นเหตุให้ผู้คนสงสัยมากขึ้น เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าหากพวกเขาพูดความจริง คุณพ่อจะต้องป่วยด้วยโรคเดียวกัน มีอาการเหมือนกัน แต่คนหนึ่งบอกว่า “เส้นเอ็นไหล่ขาด” อีกคนบอกว่า “ตามที่ผมเห็น ผมว่าป่วยขั้นวิกฤตเลย” อีกคนบอกว่า “เป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย” อีกคนบอกว่า “กระดูกหักนี่ ผมเห็นหักจริงนะ” อีกคนบอกว่า “ท่านเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม ท่านเป็นโรคเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย” ส่วนลูกสาวบอกว่า “มีความดันสูงเล็กน้อย” ในขณะที่ราชทัณฑ์เคยแถลงตั้งแต่วันแรกที่คุณพ่อมาถึงเมืองไทยว่าคุณพ่อป่วยเป็น 4 โรค คือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ภาวะพังผืดในปอดที่เกิดจากเคยป่วยปอดอักเสบ ความดันโลหิตสูง และกระดูกหลังเสื่อมในหลายระดับ” ตกลงคุณพ่อป่วยเป็นอะไรกันแน่ หรือเป็นทุกโรคตามที่กรมราชทัณฑ์รายงาน และตามที่ข้าทาสบริวารพูด ถ้าหากเป็นจริงคุณพ่อต้องเป็นมนุษย์เหล็กแน่ๆ ที่ผ่านพ้นโรคเหล่านั้นมาได้ แล้วแข็งแรงกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพักฟื้นเมื่อได้ออกมาพักโทษนอกเรือนจำ หลังจากป่วยจะเป็นจะตายมา 180 วัน
ที่คนเขาสังสัยว่าป่วยทิพย์ ก็เพราะตอนอยู่เมืองนอกเคยโพสต์โชว์ความแข็งแรง ทั้งว่ายน้ำและต่อยมวย และลูกสาวก็เคยบอกว่าคุณพ่อสุขภาพแข็งแรงดี ทำไมพอมาถึงวันไทยวันแรกก็เกิดอาการป่วยรุนแรงแบบเฉียดตายได้ขนาดนั้น ในคืนแรกที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เกิดอาการแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง 180/120 ออกซิเจนตก โรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้จริงหรือ และถ้าหากรักษาไม่ได้จริง ทำไมต้องมาถึงโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลดีๆ ที่ใกล้เรือนจำมากกว่าโรงพยาบาลตำรวจก็มี แต่จงใจจะมาที่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วเข้าพำนักที่ห้อง VVIP ชั้น 14 แบบนี้จะไม่ให้คนเขาสงสัยว่ามีข้อตกลงกันไว้ล่วงหน้าได้ยังไง ถ้าอาการวิกฤตขนาดนั้น ทำไมไม่อยู่ห้อง ICU เพื่อแก้ไขอาการ และตรวจหาสาเหตุของอาการให้มันจะแจ้งเสียก่อนที่จะย้ายออกจากห้อง ICU ไปอยู่ห้อง VVIP ชั้น 14 ที่กล้องวงจรปิดเสียทุกตัว
ตกลงเวชระเบียนมีไหม การเฝ้าระวังของราชทัณฑ์และตำรวจในการควบคุมตัวนักโทษมีไหม การตรวจรักษาเป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์ที่ถูกต้องไหม ที่จะต้องอยู่ต่อจนครบ 180 วันนั้น มีความเห็นจากแพทย์ทุกช่วงเวลาอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ การปิดบังข้อมูลก็ดี การที่กล้องวงจรปิดเสียก็ดี การอยู่ห้อง VVIP ยาวนานถึง 6 เดือนก็ดี พฤติกรรมของคุณพ่อเมื่อได้ออกมาพักโทษที่บ้าน แล้วไปโน่นไปนี่ ทำกิจกรรมนั้น กิจกรรมนี้ มันไม่มีอาการของคนเพิ่งฟื้นไข้เลยแม้แต่น้อย กินเลี้ยงได้ ไปต่างจังหวัดได้ ขึ้นเวทีหาเสียงได้ ตีกอล์ฟได้ แล้วจะให้คนไม่สงสัยเรื่องป่วยทิพย์ได้อย่างไร มีคนบางคนพูดว่า การที่จะพูดว่าคุณพ่อป่วยจริงหรือป่วยทิพย์นั้น แทบจะไม่ต้องอาศัยเอกสารใดๆ เพราะพฤติกรรมของคุณพ่อนั่นแหละที่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด พออยู่ในห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจครบ 180 วัน คุณพ่อคนไข้ก็ออกมาทำกิจกรรมต่างๆ แบบคนที่แข็งแรง ไม่มีอาการของคนที่เพิ่งฟื้นไข้แต่อย่างใด
เมื่อมีการพูดว่าคุณพ่อป่วยเป็นอะไรมากมายหลายโรคที่แตกต่างกันขนาดนี้ ความแตกต่างของสุขภาพตอนอยู่เมืองนอกและตอนอยู่เมืองไทย การปกปิดข้อมูลด้วยการอ้าง PDPA และพฤติกรรมของคุณพ่อหลังจากได้ออกมาพักโทษที่บ้านก็ดี เป็นปัจจัยที่ทำให้คนสงสัยว่าคุณพ่อป่วยทิพย์ไม่ได้ป่วยจริง ข้อสงสัยของผู้คนอาจจะผิดก็ได้ แต่จะไปห้ามข้อสงสัยของผู้คนไม่ได้หรอกนะ เพราะตัวคุณพ่อนั่นแหละทำให้ผู้คนเขาสงสัย อย่าหาว่าผู้คนเขาอคติเลยนะ ผู้คนเขาก็คิดตามความจริงเชิงประจักษ์ที่เขาได้เห็น แม้ว่ามีหลายอย่างที่ยังไม่เห็นก็ตาม คนเราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้เห็นอนุมานสันนิษฐานว่าสิ่งที่ยังไม่รู้ไม่เห็นนั้นเป็นเช่นไร กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องรับกรรมไป คนที่ก่อกรรมครั้งนี้ นอกจากคุณพ่อ ลูกสาว นักการเมืองที่รับใช้คุณพ่อ ข้าราชการที่จัดการเรื่องการคุมขังคุณพ่อ ที่จัดการให้คุณพ่อได้อยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 ก็ต้องใช้กรรมด้วยนะคะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สองพ่อลูก...สองแผ่นดิน ฤๅจะสิ้นวาสนาและบารมี
เวลาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสืบเนื่องมาเป็นร้อยปี หากจะมองตั้งแต่ยุคต้นของรัตนโกสินทร์ อาณาจักรกัมพูชาในตอนนั้นคืออาณาจักรเขมรที่เป็นประเทศราชของสยามมาจนถึงรัชกาลที่ 4
ประเทศไทยกับ'หมากตาอับ'!!!
ภายใต้โลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บรรดา ทวยไทย หรือ ปวงชนชาวไทย ท่านได้ เปลี่ยนแปลง ไปเยอะแล้ว แบบชนิด พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
สีกากีติดลบ!
ยิ่งกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แวดวง "สีกากี" แค่เพียงสัปดาห์เดียวก็มีบุคลากรตกเป็นผู้ต้องหา ตกเป็นจำเลย ตกเป็นที่พูดถึงในมุมลบของสังคมแทบจะเป็นรายวัน
แรงกดดันดร.ทักษิณยังเป็นเพียงหนังตัวอย่างของคนลัคนาสถิตกันย์
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายแห่งรวมทั้งที่ไทยโพสต์ คุณศลิลนา ภู่เอี่ยม และคุณบุญระดม จิตรดอน ที่แนวหน้า ว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ ลัคนาส
'ดร.เสรี' งง! เขมร ถอยหรือไม่ถอย มีคนหลอกนักข่าว ข้องใจใครสั่ง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความว่า งง สับสน ใครรู้ความจริง.ช่วยยืนยันหน่อยเถอะค่ะ ว่าเขมร
ฤๅเขาคือเจ้าของประเทศ
มีคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีมีเงินเป็นแสนๆ ล้าน เขามีความร่ำรวย แต่เขาไม่พอเท่านั้น เขามีความทะเยอทะยานอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย