สองพ่อลูก...สองแผ่นดิน ฤๅจะสิ้นวาสนาและบารมี

เวลาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสืบเนื่องมาเป็นร้อยปี หากจะมองตั้งแต่ยุคต้นของรัตนโกสินทร์ อาณาจักรกัมพูชาในตอนนั้นคืออาณาจักรเขมรที่เป็นประเทศราชของสยามมาจนถึงรัชกาลที่ 4 พระมหากษัตริย์ของอาณาจักรเขมรหลายองค์ได้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ด้วยการสถาปนาของพระมหากษัตริย์ไทย ทุกครั้งที่พระราชวงศ์ของเขมรเกิดปัญหา ก็จะเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณชุบเลี้ยงตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนเติบใหญ่ และสถาปนาให้เป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศราชที่ต้องส่งบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองให้แก่สยาม 

จนล่วงมาถึงรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งพระราชวงศ์จักรี ในยุคที่ชาติตะวันตกออกล่าอาณานิคม และฝรั่งเศสได้พื้นที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงซึ่งมีอาณาจักรเขมรรวมอยู่ด้วย เขมรจึงได้หลุดจากการเป็นประเทศราชของไทย

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขมรหลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เขมรผ่านวิกฤตของความขัดแย้งภายในหลายครั้งหลายครา และประเทศไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือกับชาวเขมรที่หนีภัยสงครามจากความขัดแย้งภายในแทบทุกครั้งที่เขมรมีปัญหา มีการเปลี่ยนผู้นำมาหลายครั้งหลายครา จนกระทั่งผู้พ่อคนปัจจุบันได้อำนาจเป็นผู้ปกครองอาณาจักรเขมรที่ใช้ชื่อว่าประเทศกัมพูชา เป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมีที่จะทำอะไรก็ได้ในประเทศกัมพูชายาวนานมาถึง 40 ปี แม้ถึงเวลาที่จะต้องลงจากอำนาจก็ไม่ได้ลงไปเสียเลยทีเดียว ยังมีลูกชายที่ผู้พ่อได้เตรียมการไว้ให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจ เมื่อยกตำแหน่งที่ตัวเองเคยดำรงให้ลูก ตัวเองก็มิใช่ว่าจะไม่มีตำแหน่งใดๆ ก็ยังคงมีตำแหน่ง และที่สำคัญก็ยังคงมีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองของประเทศ ยังทำตนเป็นผู้มากบารมีที่จะทำอะไรในกัมพูชาได้ตามที่ตนเองต้องการ

และแล้ววันหนึ่ง กัมพูชาก็รุกล้ำดินแดนของไทย อ้างว่าเป็นดินแดนของตนเอง เอาทหารเข้าประจำการในดินแดนที่เป็นของไทย จนเกิดการปะทะกัน ทีแรกทางรัฐบาลไทยก็มีอาการนุ่มนิ่ม หน่อมแหน่ม ทำตัวเป็นลูกไล่กัมพูชา จนทหารที่รักชาติรักแผ่นดินผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนทนไม่ได้ ต้องออกมาแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทยทั้ง 4 เหล่าทัพ ประกาศว่าจะดำเนินมาตรการบางอย่างเพื่อกดดันรัฐบาลกัมพูชาให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ แทนที่กัมพูชาจะสำนึกและถอยออกจากพื้นที่ซึ่งเขาบุกรุกเข้ามายึดครอง กลับแสดงอาการแข็งกร้าว ไม่สนใจมาตรการใดๆ ของไทย จะปิดพรมแดนก็ช่าง จะไล่คนงานเขมรกลับประเทศก็ช่าง จะไม่ขายสินค้าให้เขมรก็ช่าง จะตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตก็ช่าง ทำเหมือนว่าถ้าหากไม่มีไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ตจากประเทศไทย จะหาซื้อใหม่จากที่อื่นได้แบบข้ามคืน แล้วก็ร่วมมือกันแสดงท่าทีขึงขัง ตัวพ่อออกมาสร้างวาทกรรมปลุกคนเขมรให้รักชาติ ตัวลูกเดินสายคุยกับผู้นำประเทศต่างๆ ทั้งในกลุ่ม ASEAN และประเทศในยุโรป รัฐมนตรีกลาโหม ทำคลิปเย้ยหยันรัฐมนตรีกลาโหมของเรา รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศทำจดหมายเชื้อเชิญให้เรานำเอากรณีพิพาทขึ้นศาลโลก

ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่เป็นผลดีกับกัมพูชา ผู้นำหลายประเทศไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัมพูชา คนเขมรที่ทำงานในประเทศไทยกลัวถูกส่งกลับ ญาติพี่น้องในประเทศกัมพูชาเกรงจะไม่ได้รับเงินจากประเทศไทย เศรษฐกิจของกัมพูชาจะต้องทรุด เมื่อคนในกัมพูชามีรายได้ลดลง ทหารกัมพูชาเมื่อเห็นการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทย และมองออกว่า ถ้าหากมีการรบกันขึ้นมาจริงๆ เห็นที่จะเอาชนะไทยได้ยาก ทั้งกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และการหนุนประเทศไทยจากชาติต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของกัมพูชา

ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้พ่อยังปากดีว่าคนไทยหัวรุนแรงคุกคามประเทศกัมพูชา ดังนั้นขอชวนชาวกัมพูชาคว่ำบาตรประเทศไทย ไม่ฉายหนังและละครไทย ไม่ซื้อสินค้าไทย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลดีกับชาวกัมพูชา เพราะหากไม่มีการค้าขายระหว่างไทยกับกัมพูชา รายได้ในการพัฒนาประเทศก็จะมาจากธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็น Call center และบ่อนการพนัน ดังนั้นการเคลื่อนไหวของกัมพูชาโดยยุทธศาสตร์ของสองพ่อลูกผู้มีอำนาจในกัมพูชา แทนที่จะสร้างคะแนนนิยมให้สองพ่อลูก มันน่าจะทำให้ชาวกัมพูชาไม่พอใจสองพ่อลูก แล้วเห็นความจริงว่า ตระกูลนี้เป็นใหญ่ในกัมพูชา บริหารกัมพูชามา 40 ปี ไม่ได้สร้างความเจริญให้กัมพูชาเลย ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยและเวียดนามเจริญกว่ากัมพูชา ร่ำรวยกว่ากัมพูชา ประเทศอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกของ ASEAN ด้วยกัน ต่างก็มีพัฒนาการและเจริญรุ่งเรืองกว่ากัมพูชาทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การขยับตัวของกัมพูชาในการรุกรานไทยโดยการวางกลยุทธ์ของสองพ่อลูกในครั้งนี้ น่าจะเป็นผลเสียกับคะแนนนิยมของพวกเขา อาจจะสิ้นวาสนาบารมีได้นะ

ในขณะที่กัมพูชารุกคืบด้วยความเข้มแข็ง ขึงขัง จริงจัง แสดงอาการเป็นผู้ได้เปรียบประเทศไทย ทางรัฐบาลไทยเรากลับอ่อนปวกเปียก ทำตัวเป็นลูกไล่กัมพูชา คุณหนูก็ทำตัวเป็นเทพีสันติภาพ ขณะเขารุกไล่รุนแรง คุณหนูก็ยังคงตั้งมั่นจะเจรจาแบบทวิภาคี เขารุกล้ำแล้ว เขาปะทะแล้ว เขาประกาศจะเอาขึ้นศาลโลกแล้ว เขาตระเวนคุยกับผู้นำประเทศต่างๆ แล้ว เขาประกาศคว่ำบาตรประเทศไทยแล้ว คุณหนูยังคิดจะเจรจาโดยสันติอีกหรือ และลิ่วล้อของคุณพ่อในประเทศไทยยังกล่าวหาประชาชนว่าคลั่งชาติ ประชาชนเขาสนับสนุนทหารที่แสดงแสนยานุภาพ และประกาศจะใช้มาตรการกดดันกัมพูชาให้ถอยร่น ลิ่วล้อของคุณหนูก็หาว่าประชาชนผู้รักชาติเป็นพวกกระหายสงคราม เวรกรรมแท้ๆ เขาไม่ได้ต้องการสงคราม แต่เขาต้องการให้ผู้บริหารของไทยมีความเข้มแข็ง และใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อกดดันให้กัมพูชาออกจากพื้นที่อันเป็นดินแดนของไทย

พฤติกรรมที่แย่ๆ ของคุณหนูที่ประชาชนมองว่าไม่ไหวแล้ว พฤติกรรมของพ่อหลายเรื่องที่เสี่ยงกับการทำผิดกฎหมาย เรื่องการไม่ยอมติดคุกแล้วอยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เรื่องโดนคดีมาตรา 112 เรื่องการแสดงอาการครอบงำรัฐบาลและพรรค ล้วนแล้วเป็นความเสี่ยงทั้งนั้น มติของแพทยสภาที่ยืนยันมติการลงโทษ 3 หมอก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอามติดังกล่าวเป็นข้อมูลในการไต่สวน สทร. ผู้พ่อก็จะลำยาก คุณหนูผู้ลูกจะทำอะไรยังไงได้เล่า ฤๅจะเป็นอีกพ่อลูกที่จะต้องหมดวาสนาและบารมีเช่นกัน เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ถึงแม้จะไม่ปรารถนา...แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น

ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เทศนาปาฏิหาริย์!!!

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน!!! อย่างที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยต้องหันไปคว้าหนังสือเก่า ว่าด้วยเรื่อง จาริกบุญ-จารึกธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

จับตา 'เรือฟริเกต' ลำที่ 2

เกือบครบ 1 เดือนพอดีตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีหนังสือบันทึกข้อความ เรื่องประกาศลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจ

ดร.เสรี ลั่นไม่อยากให้มีเลือกตั้งแบบที่เป็นอยู่! ชี้ประชาธิปไตยไทยบ่มมาตั้งแต่ 2475 แต่กลับเน่า

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ระบุไม่อยากให้มีการเลือกตั้งแบบที่เป็นอยู่มา 20 ปี จนกว่าคนไทยส่วนใหญ่จะพร้อม ชี้ประชาชนยังเลือกเพราะประชานิยมและกระแสประชาธิปไตยโดยไม่สนผลเสียประเทศ เปรียบประชาธิปไตยไทย “ผลไม้ที่ถูกสอยก่อนแก่” บ่มเท่าไรก็ไม่สุกหวาน มีแต่จะเน่าเสีย

ไทม์ไลน์ระยะจุดระเบิดสู่ระยะคลี่คลายทางการเมืองรอบนี้

ในที่สุดความผันผวนจัดทางการเมืองที่มาพร้อมกับ ความอึดอัด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คล้ายๆ การเมืองถูกตรึง ที่เคยทำนายไว้ว่า จะเกิดระหว่าง 19 พฤษภาคม-23 สิงหาคม 2568 อันจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ สูงกว่าปรับคณะรัฐมนตรี