พฤษภาทมิฬ พลิกโฉมประเทศไทย

การเสียชีวิต ของ พล. อ. สุจินดา คราประยูร เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องรำลึกประวัติศาสตร์สักนิดนึง

ผมคงไม่ต้องรื้อฟื้น เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หรือ ช่วงเวลาที่ พล. อ. สุจินดา เป็นนายก (หลายคนคงจะ ผสมกันและถือว่า เป็นเหตุการณ์เดียวกันก็ว่าได้) เพราะแฟนไทยโพสต์ ติดตามข่าวคราว และมีความเข้าใจประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยดีเยี่ยม และดีกว่าผมอยู่แล้ว

ช่วงเกิดเหตุ พฤษภาทมิฬ เป็นช่วงที่ผมกำลัง ตื่นตัว และเข้าใจการเมืองไทย เพราะก่อนหน้านั้น ผมไม่ใส่ใจ ผมไม่รู้เรื่อง และผมไม่สนใจเลยครับ

ช่วงปี 2535 ผมกำลังจะอายุ 22 พอดี กำลังจบมหาลัย ซึ่งต้องเท้าความครับ และดูว่าผมเท้าความมาแล้ว พันล้านครั้งมั้งครับ ผมเกิดสหรัฐอเมริกา และอยู่ที่นู้นจนถึงอายุ 13 ตอนอยู่ที่นู่นผมไม่ได้พูดไทยเลย ถึงแม้คุณพ่อและคุณแม่พยายามพูดภาษาไทยกับผมก็ตาม สิ่งแวดล้อมผมเป็นฝรั่ง เพื่อนผมเป็นฝรั่ง และผมเป็นฝรั่ง หน้าตาผมไทย ชื่อผมก็ไทย แต่ใจกับวิญญาณ เป็นฝรั่ง

จนกระทั่ง ตามวิสัยทัศน์ของคุณพ่อและคุณแม่ เห็นว่าได้เวลาอันสมควรที่ควรกลับมาบ้านเกิด (ของเขา) ผมจึงมีโอกาส เหยียบแผ่นดินไทยครั้งแรก ตอนอายุ 12 เพื่อดูว่าผมสามารถปรับตัว และรับสภาพ ไทยแลนด์ ได้หรือไม่ คุณพ่อและคุณแม่บอกผมตลอดว่า ถ้าผมปรับตัวไม่ได้ เขาจะไม่กลับมากัน ผมจึงรู้สึกโชคดี ที่คุณพ่อคุณแม่ ตัดสินใจเนิ่นๆ ให้ผมสัมผัส ตอนอายุ 12 เพราะ ผมยังไม่เข้าวัยกบฏ ผมยังอยู่ในวัยที่ปรับตัว ยืดหยุ่น และรับสภาพใหม่ได้ ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้ ตอนผมอายุมากกว่านี้ และผมต้องสัมผัสไทยแลนด์ครั้งแรกตอนอายุ 16 นั้น ผมเชื่อว่าผมปรับตัว รับสภาพไม่ได้

ผมกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างจริงจังตอนอายุ 13 พูดไทยไม่ได้ ที่พูดได้คือ “หิวครับ” “สวัสดีครับ” และประโยคที่ต้องใช้บ่อยสุด พูดชัดสุดคือ “ผมพูดภาษาไทยไม่ได้ครับ” ซึ่งพูดทีไร จะต้องถูกสวนกลับมาทันที “ทำไมพูดไทยไม่ได้?” ทำให้ผมไปต่อไม่ได้เลยครับ ได้แต่มองเขา ยิ้ม และเดินหนี

ผมต้องเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เพราะไม่มีทางเรียนโรงเรียนไทยได้ เลยจบมัธยมปลายจากโรงเรียนนานาชาติ ร่วมฤดี ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผมอยู่โรงเรียนนี้ ผมมีเพื่อนไทยก็จริง แต่พวกเรา ไม่ต่างกันที่ว่า เกิดและใช้ชีวิตในต่างแดน เลยใช้ภาษาอังกฤษกันเป็นหลัก และยังรับอิทธิพลจากโลกตะวันตก โดยที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง สถานการณ์ หรือเหตุการณ์ ในไทยแลนด์ เท่าไหร่นัก เพื่อนผมรุ่นนั้น เป็นคนที่คิดว่า ไทยแลนด์ คือ Bangkok (ไม่ใช่บางกอก ด้วยซ้ำ) พัทยา และหัวหิน ส่วน Bangkok คือ สุขุมวิท สีลม และ สาทร ถ้าพูดคำว่า หนองจอก ลาดกระบัง ทวีวัฒนา หรือแม้แต่ปากเกร็ดของผม เหมือนพูดภาษาเอเลี่ยน

หลังจบมัธยม (ในไทย) ผมเข้ามหาวิทยาลัยมหิดลครับ ผมเป็นรุ่นแรกๆ ของคณะอินเตอร์ เพื่อนผมหลายคนเข้าเอแบค หรือไปเมืองนอก ผมบอกเลยว่า ถ้าผมตามเพื่อน เข้าเอแบคหรือไปเมืองนอกนั้น ผมจะไม่มีความผูกพันกับไทยแลนด์แม้แต่นิดเดียว เพราะการเข้ามหิดลของผม ทำให้ผมมีเพื่อน “ไทย” ครั้งแรกในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ผมมีเพื่อนอยู่ฝั่งธนบ้าง อยู่ลาดพร้าวบ้าง และเป็นครั้งแรกที่ผมมีเพื่อนที่ ไม่อยู่เฉพาะในกะลาพื้นที่ สุขุมวิท สาทร และสีลม

การอยู่มหิดล 4 ปีเต็ม ทำให้ผมมีความผูกพันกับประเทศไทย เข้าใจประเทศไทย (มากกว่าเดิม) และลึกซึ้งกับความเป็นไทย นอกจากผมจะได้รับใบปริญญาจากมหิดลแล้ว สิ่งสำคัญที่ผมได้รับจากการเรียนที่นั่นคือ ทำให้รักประเทศไทย…..แต่ยอมรับว่า ตอนนั้น ภาษาไทยของผมไม่ Strong เลย

ผมจบปี 2535 ในช่วงรัฐบาล พล. อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ผมเริ่มใส่ใจ และติดตามการเมืองไทย ผมเริ่มออกงานกับคุณพ่อ ฟังคุณพ่อพูดเรื่องการเมือง และซักถามพ่อ ประเด็นต่างๆทางการเมือง จนกระทั่งถึงช่วงรัฐประหารโค่นล้ม รัฐบาล พล.อ. ชาติชาย และดราม่าการตั้งคณะ รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช) ตามมา การมีเลือกตั้งที่ พรรคสามมัคคีธรรม ชนะการเลือกตั้งแต่หัวหน้าพรรค (นายณรงค์ วงศ์วรรณ) ขึ้นบัญชีดำในสหรัฐ เรื่องการค้ายาเสพติด ทำให้ไปต่อยาก เลยทำให้ พล. อ. สุจินดา ต้องเสียสละ และ “เสียสัตย์” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ตอนนั้นผมของขึ้น ผมโมโห ผมอินมากครับ เพราะรู้สึกว่ากำลังถูก กลุ่มที่มีอำนาจล้นฟ้า ตบหน้า และยึดประเทศ (ที่ผมกำลังเริ่มรัก) ต่อหน้าต่อตา เพียงเพราะ….เขาทำได้

ผมโกรธ ผมของขึ้น แต่อีกใจหนึ่ง ผมโคตรนับถือ พล. อ. สุจินดา การพูดการจา การวางตัว และบารมีของเขาที่ล้นฟ้านั้น ทำให้เขาดูเท่มาก ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมยังเด็ก ผมอ่อนการเมืองอย่างแรง ดังนั้นภาพมาก่อน โดยที่ผมยังไม่ลึกซึ้ง ผลงาน และหรือนโยบาย ดังนั้นภาพพจน์ของ พล. อ. สุจินดา ติดตาผมมาโดยตลอด ทั้งผ่านจอโทรทัศน์ หน้าหนังสือพิมพ์ และเวลาเจอเป็นๆ ตามงานต่างๆ

ผมเคยออกงานกับคุณพ่อที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว เป็นงานแต่งงานลูกผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง มีแขกร่วมงานกว่าครึ่งประเทศก็ว่าได้ ผมจำได้ว่าคนแน่นขนาด ยืนเบียดกันเหมือนเที่ยวเธค (เพียงแต่ไม่มีใครเต้น) มองไปทางไหนเห็นแต่ผู้คนใส่สูทยืนเบียดกัน แต่ตรงกลาง เหมือนมีที่เว้นไว้ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ เหมือนตรงกลาง คือพระอาทิตย์และคนอื่นๆ ที่ยืนเบียดเป็นดวงดาวที่รอบพระอาทิตย์ บังเอิญพระอาทิตย์ตรงนั้นคือ พล. อ.สจินดา และคณะ รสช ยืนคุยกัน

ยอมรับว่า ไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น (สำหรับพลเรือนธรรมดา) แล้วตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นนายกด้วย

ในใจหนึ่ง ด้วยเหตุการณ์ที่ผมรับไม่ได้ ที่เขายึดประเทศอยู่ในมือพวกเขา แต่ผมไม่ได้เกลียดชัง เพราะอีกใจนึง ผมนับถือเขามาก โดยที่ผมไม่รู้จักเป็นส่วนตัว ไม่เคยสัมผัสโดยตรง (เพราะผมรู้ว่า เขาไม่ค่อยจะชอบคุณพ่อผมเท่าไหร่ เนื่องจากคุณพ่อผมสนิทกับ บิ๊กเสือ พล. อ. พิจิตร กุลละวณิชย์)

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้ผมซาบซึ้ง กับ “ประชาธิปไตย” เป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ เป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม แต่ในปีนั้นๆ ผู้คนออกมา แสดงพลังด้วยจิตด้วยใจด้วยความห่วงใยประเทษ โดยที่ไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องขน และไม่ต้องบังคับ

พฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่พลิกโฉม ทิศทางการเมืองไทย และทิศทางประเทศ เป็นเหตุการณ์ที่ ปฏิรูปกองทัพในตัว และทำให้เกิดพลังเสียง คนไทย ทุกชนชั้นอย่างแท้จริง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Jaguar จะเจ๋ง…หรือจะเจ๊ง?

สมมุติว่าคุณเป็น CEO บริษัทผลิตรถยนต์ จะเป็นรถหรูๆ ก็ได้ เป็นรถธรรมดาทั่วไปก็ได้ และมีข่าวว่ายอดขายเดือนเมษายนปีนี้ตกเหวลง ประเภทลงดิ่งแบบไม่น่าเชื่อถึง

“This is getting childish.”

วันที่เขียนคอลัมน์นี้ เป็นวันที่ ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาเปิดโปง ความสัมพันธ์ ระหว่างเขากับ คุณทักษิณ ชินวัตร

#ไม่เอารัฐประหาร!!!!

ผมไม่เอารัฐประหารครับ ผมไม่ยินยอมหรือยินดีให้กลุ่มบ้าบอยั่วยุให้กองทัพออกมายึดอำนาจ การยั่วยุให้มีรัฐประหารหรือยึดอำนาจ เป็นการกระทำและการยั่วยุที่เลวทราม ผมถามหน่อยว่า

THAI-LAND!!! THAI-LAND!!! THAI-LAND!!!

เวลานี้ไม่ใช่เวลาอวดรู้ ไม่ว่าคุณจะชอบรัฐบาลชุดนี้ กับผู้นำคนนี้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาสร้างความแตกแยก ไทยเรายิ่งแตกแยกกันเองเท่าไหร่ ฝ่ายตรงข้ามยิ่งได้เปรียบ

“This is CNN”

วันนี้เป็นวันครบรอบ 45 ปี ที CNN (Cable News Network) ออกอากาศครั้งแรก ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครในโลกไม่รู้จัก CNN ถ้าถามว่าดู CNN หรือไม่ ทุกคนต้องตอบว่าดูอยู่แล้ว ถ้าคำถามคือ “เคยดู CNN ไหม?” ต้องตอบคือ “เคยอยู่แล้ว” ต้องถามว่าเวลาอยู่บ้าน ดูไหม?