ประชาธิปไตยของหลายประเทศคือระบอบกดขี่ที่สร้างขึ้นให้ประชาชนยอมรับการกดขี่ เพราะคิดว่ามาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย
ความจริงคือ ทุกวันนี้ประเทศที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยจำนวนมากไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มใบ เป็นประชาธิปไตยคุณภาพต่ำ หรือกึ่งเผด็จการ บางคนเรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม” (Authoritarian Democracy) สิ่งที่มากับประชาธิปไตยเป็นแค่เปลือกนอก เช่น มีการเลือกตั้ง มี สส. มีสถาบันการเมือง แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง ประโยชน์ส่วนใหญ่อันมาจากการ
ปกครองอยู่กับกลุ่มคนส่วนน้อย อาจเป็นนักการเมือง นายทุนใหญ่ กล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยของหลายประเทศคือระบอบกดขี่ที่สร้างขึ้นให้ประชาชนยอมรับการกดขี่ เพราะคิดว่ามาจากการเลือกตั้งตามกฎหมาย

ภาพ: ประชาธิปไตยโลก
เครดิตภาพ: https://www.idea.int/sites/default/files/2025-09/global-state-of-democracy-2025-democracy-on-the-move_0.pdf
เรื่องนี้สามารถตรวจสอบง่ายๆ ด้วยการดูว่านักการเมืองกับเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตคอร์รัปชันมากแค่ไหน นโยบายรัฐช่วยให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืนหรือกดให้ยากจนข้นแค้น ระบอบการปกครองค่อยๆ กัดเซาะบ่อนทำลายชีวิต หลายประเทศพิสูจน์แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วอาจลงเอยด้วยการเป็นรัฐล้มเหลวหรือกึ่งล้มเหลว ประชาชนคือเหยื่อของระบอบการปกครอง
กันยายน 2025 “สถาบันระหว่างประเทศเพื่อความช่วยเหลือด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง” (International Institute for Democracy and Electoral Assistance หรือ International IDEA) ในสวีเดน เผยแพร่งานวิจัยสถานการณ์ประชาธิปไตยล่าสุด ชื่อ “Global State of Democracy 2025: Democracy on the Move” ตอกย้ำข้อสรุปความเป็นประชาธิปไตยแย่ลงทุกที ก้าวสู่อำนาจนิยม สภาพเช่นนี้เป็นเหมือนกันทุกทวีปทั่วโลก
ข้อมูลล่าสุดตอกย้ำข้อสรุปเดิมว่าประชาธิปไตยเสื่อมถอยต่อเนื่อง ข้อมูลปี 2024 94 ประเทศ หรือเท่ากับ 54% ของจำนวนประเทศทั้งหมดเสื่อมถอยในทางใดทางหนึ่ง ภาพความเสื่อมถอยชัดเจนมากถ้าเทียบกับ 5 ปีก่อนที่ 55 ประเทศ (32%) ดีขึ้นอย่างน้อยหนึ่งด้าน (ตามดัชนีชี้วัด)
กราฟตามภาพชี้ว่านับจากปี 2011 จำนวนประเทศที่เสื่อมถอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ข้อมูลปี 2024 ระบุว่า 54% ของจำนวนประเทศทั้งหมดเสื่อมถอย ในทางกลับกัน ประเทศที่ความเป็นประชาธิปไตยดีขึ้นนั้นลดลง ปี 2024 ดีขึ้นเพียง 32%
แอฟริกาเสื่อมถอยมากสุด (33%) ตามด้วยยุโรป (25%) เอเชีย (20% -ไม่รวมเอเชียตะวันตก) ทวีปอเมริกา (16%)
หมวดหมู่สิทธิและเสรีภาพของพลเมือง (Rights and Civil Liberties) เสื่อมถอยในวงกว้างมากสุด โดยเฉพาะเสรีภาพสื่อ (Freedom of the Press) รองลงมาคือ เสรีภาพในการแสดงออก (Freedom of Expression) ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ (Economic Equality) และการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม (Access to Justice)
ทำไมประชาธิปไตยเสื่อมถอย:
คำถามนี้มีคำตอบมากมาย พอจะสรุปประเด็นสำคัญ ดังนี้
ประการแรก การเติบโตของประชานิยมและผู้นำอำนาจนิยม
ในหลายประเทศ สส.กับผู้นำประเทศชนะเลือกตั้งด้วยนโยบายประชานิยม บางคนอ้างว่าเป็นตัวแทนของ “ประชาชนที่แท้จริง” เพื่อต่อสู้กับ “ชนชั้นนำ” ที่ทุจริต แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วนักการเมืองเหล่านี้บ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตย เช่น ระบบศาล สื่อสารมวลชน และองค์กรตรวจสอบ เพื่อรวบอำนาจไว้ที่ตนเอง สร้างระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง คนพวกนี้มักสร้างความแตกแยกในสังคม แบ่งประชาชนออกเป็น “พวกเรา” กับ “พวกเขา” มองฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองว่าเป็นศัตรูของชาติ
ประการที่ 2 ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่พอใจของประชาชน
ประชาธิปไตยถูกคาดหวังว่าช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ในหลายประเทศพบว่าผลประโยชน์กระจุกตัวอยู่กับคนกลุ่มเล็กๆ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้น เมื่อประชาชนรู้สึกว่าระบบประชาธิปไตยไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ ก็จะเริ่มหมดศรัทธาและหันไปสนับสนุนผู้นำหรือแนวคิดทางการเมืองที่แข็งกร้าวและเป็นเผด็จการมากขึ้น โดยหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาปากท้องได้ดีกว่า
ประการที่ 3 ความแตกแยกทางการเมืองที่รุนแรง
เมื่อความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เห็นว่าความเป็นอยู่ของตนย่ำแย่ลงหรือขาดการดูแล ไม่พอใจต่อระบบที่เป็นอยู่ รู้สึกสิ้นหวังและคับข้องใจ จุดนี้เป็นช่องว่างให้ผู้นำประชานิยมหรือผู้นำที่มีแนวคิดอำนาจนิยมเข้ามาแสวงหาประโยชน์ โดยให้คำสัญญาง่ายๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และมักโจมตีสถาบันประชาธิปไตยว่าเป็นต้นตอของปัญหา
สังคมที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายชัดเจนทำให้การประนีประนอมทางการเมืองเป็นไปได้ยาก ผู้คนจะมองฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น “ศัตรู” แทนที่จะเป็น “คู่แข่ง” การแบ่งขั้วที่รุนแรงนี้มักถูกกระตุ้นโดยผู้นำทางการเมืองและสื่อบางสำนัก ทำให้ผู้สนับสนุนยอมมองข้ามการกระทำที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยของฝ่ายตน เพื่อให้แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะพ่ายแพ้
ประการที่ 4 การแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน
โซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีดิจิทัลเปลี่ยนแปลงวิธีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของสังคม แม้มีข้อดีด้านพื้นที่แสดงออก แต่กลายเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข่าวปลอม ทฤษฎีสมคบคิด และโฆษณาชวนเชื่ออย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง ทำลายความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อสถาบันหลักของสังคม เช่น สื่อ รัฐบาล และกระบวนการเลือกตั้ง ประชาชนมีมุมมองต่อโลกบิดเบือนไม่ตรงความจริง
เหล่านักการเมือง กลุ่มอำนาจทั้งหลาย ต่างใช้สื่อเป็นช่องทางรวบรวมคนของตนเอง และโจมตีฝ่ายตรงข้าม ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมักรับสื่อทางเดียว ฟังแต่ช่องพวกเดียวกับตน
ในระยะยาวเมื่อประชาชนไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรคือความจริงความเท็จ จะไม่ไว้วางใจระบอบประชาธิปไตย
ประการที่ 5 ความอ่อนแอของสถาบันประชาธิปไตย
การเสื่อมถอยของประชาธิปไตยมักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และถูกกฎหมาย (Erosion from the Top) โดย สส.ที่มาจากการเลือกตั้งจะค่อยๆ เปลี่ยนกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเพื่อลดทอนอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ แทรกแซงความเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบ จำกัดเสรีภาพการแสดงออกของสื่อและภาคประชาสังคม ทำให้กลไกการคานอำนาจซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยอ่อนแอลงจนไม่ทำงาน
สส.อำนาจนิยมที่มาจากการเลือกตั้งจะค่อยๆ บ่อนทำลายกลไกการตรวจสอบและระบบถ่วงดุล เปลี่ยนแปลงกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตนเองอยู่ในอำนาจนานขึ้น การกระทำเหล่านี้เป็นการ “ทำลายประชาธิปไตยอย่างถูกกฎหมาย” ซึ่งเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนประชาชนอาจไม่ทันสังเกตหรือคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
ประการที่ 6 การแทรกแซงจากต่างชาติ
หลายครั้งที่ประเทศหนึ่งเลือกระบอบการปกครอง ไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนเท่านั้น เบื้องหลังมาจากการแทรกแซงของรัฐบาลต่างชาติ
กล่าวได้ว่า ระบอบการเมืองการปกครองมาจากการส่งออกของมหาอำนาจ
ในสมัยสงครามเย็น พวกสังคมนิยมจะส่งเสริมให้นานาชาติเป็นสังคมนิยม เช่นเดียวกับฝ่ายประชาธิปไตยจะชี้ว่าการปกครองแบบของตนดีที่สุด ดังจะเห็นว่าแต่ไหนแต่ไรรัฐบาลสหรัฐจะส่งเสริมเสรีภาพ ระบอบประชาธิปไตย ตีตราว่าประเทศที่ปกครองด้วยระบอบอื่นมักเป็นปรปักษ์ของตน ตัวอย่างล่าสุด คือ รัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ
สรุป ความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยมาจากความไม่เป็นประชาธิปไตยหรือการเป็นประชาธิปไตยแบบหลอกๆ ผนวกกับความผิดหวังทางเศรษฐกิจ (ประชาชนบางประเทศสนับสนุนการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยหากประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุข เช่น พวกรัฐอาหรับ จีน)
ฃการสื่อสารที่รวดเร็วกว้างขวางในยุคดิจิทัลเป็นอีกปัจจัยที่มีพลังขับเคลื่อนการเมือง การชอบหรือไม่ชอบรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประชาชนหวังการเปลี่ยนแปลงแก้ไข บนฐานค่านิยม ความคิด ความต้องการของตน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว



