
ไม่รู้ว่าซินแสและบรรดาหมอดูหมอเดาทั้งหลายจะตีความเหตุถนนทรุดตัวบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาลเป็น หลุมกว้าง 30x30 เมตร ลึก 50 เมตร ซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ใหญ่ขนาดนี้ ที่สำคัญไปตรงกับวันที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีจะนำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตามมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เสียด้วย งานนี้ต้องมีใครจับแพะชนแกะวิเคราะห์วิจารณ์กันแน่นอน ...๐
แต่ต้องปรบมือให้ “นายกฯ หนู” จริงๆ ที่แม้จะมีคิวต้องเข้าถวายสัตย์ฯ แต่ก็เลือกลงพื้นที่เพื่อดูเหตุการณ์ สมกับวันที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ คนที่ 32 ที่ประกาศว่าจะทำงานแบบไม่มีหยุดหย่อนใน 4 เดือนตามสัญญา MOA ยกเว้นเกิดป่วยไข้ขึ้นมา โดย งานนี้ “นายกฯ” ก็หนีบ “มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช” รมช.คมนาคมลงพื้นที่ด้วย ซึ่งถือว่าประเดิมได้สวยทีเดียว ในขณะเดียวกันชาวบ้านก็ถามถึง “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ที่ไม่ลงพื้นที่ด้วย ...๐
ส่วนที่ไวที่สุดก็คงไม่มีใครเกินพ่อเมืองอย่าง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ที่ลงพื้นที่ตามหลัง “สุริยชัย รวิวรรณ” ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.เกือบครึ่งชั่วโมง แต่ก็ได้สั่งการทันทีใน 7 ข้อ พร้อมชี้สาเหตุว่าเกิดจากดินไหลเข้าอุโมงค์ก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงใต้ ในขณะที่ “นายกฯ หนู” ยังไม่ฟันธง แต่มอบให้ผู้เชี่ยวชาญไปค้นหาสาเหตุมาโดยเร็ว ซึ่งใน ขณะนี้ก็มีรายงานว่าเกิดเหตุดินทรุดตัวอีกครั้งหน้ามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ทำให้ดินหน้า รพ.วชิรพยาบาลทรุดลงเพิ่มอีก ถือว่าน่าห่วงอย่างยิ่ง เพราะอย่าลืมว่า “สุกันยาณี ยะวิญชาญ” อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนเรื่อง “พายุรากาซา” ที่ไทยจะเจอ ฝนถล่มหนักในช่วงวันที่ 24-26 ก.ย.นี้ ซึ่งสภาพเช่นนี้อาจทำให้สถานการณ์หลุมลึกแก้ปัญหาได้ยากมากยิ่งขึ้น ...๐
พูดถึง ครม.ใหม่แล้วก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าแข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ โดยเฉพาะในยุค ครม.คนละครึ่ง ที่เดิมมีชื่อ “สันติ พร้อมพัฒน์” จะมานั่งรองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข แต่ไปเจอด่านตรวจคุณสมบัติ เก้าอี้ดังกล่าวเลยส่งมาที่ลูกชาย “พัฒนา พร้อมพัฒน์” ซึ่งเดิมจะคั่วสองเก้าอี้เหมือนกัน แต่จิ้งจกก็ทักไว้เรื่องความอาวุโสและบารมีทางการเมือง ในการดำรงตำแหน่ง “รองนายกฯ” เลยได้เก้าอี้เดียว ซึ่งก่อนการถวายสัตย์ฯ ที่ต้องเข้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อตรวจ ATK และถ่ายรูปเดี่ยวติดบัตรนั้น “พัฒนา” ก็มาเป็นคนแรก ตามมาด้วย รมต.หน้าใหม่ต่างเรียงรายกันเข้ามาต่อเนื่อง ทั้ง “ศศิธร กิตติธรกุล” รมช.มหาดไทย “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รมว.พาณิชย์ รวมถึง “พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ” รมช.กลาโหม ฯลฯ ส่วนขาเก่าที่มาเป็นคนแรกคือ “ครูแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศธ.นั่นเอง ...๐
พูดถึง ครม.ไม่พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจก็ไม่ได้ เพราะช่วงเช้า “สมหมาย ภาษี” อดีตขุนคลังก็ได้โพสต์เรื่องให้เฝ้าระวังเรื่องการลดระดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัญหาของรัฐบาลอนุทินที่ต้องใส่ใจดูแล พร้อมเสนอแนะให้แก้ไขเรื่องรายได้ที่ลดน้อยถอยลงของภาครัฐโดยการขึ้นภาษีมูลค้าเพิ่มหรือแวตขึ้น 1% ซึ่งไม่ทันไร “วรภัค ธันยาวงษ์” รมช.การคลังก็โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ฐานะการคลังของไทยหลังโควิด-19 : Baseline ที่ท้าทายสำหรับรัฐบาลใหม่” โดยหนึ่งในข้อเสนอก็มีพูดถึงการขยับแวตเช่นกัน โดยบอกว่าไทยยังคงเก็บในอัตราที่ต่ำ 7% ในขณะที่ประเทศรอบบ้านของเราอยู่ที่ 12 ถึง 15% กันทั้งนั้น ...๐
แหม...เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะว่ารัฐบาลอนุทินจะไม่ขยับภาษีแวตแน่นอน ขนาดรัฐบาลเพื่อไทย ทั้งใน ยุค “เศรษฐา ทวีสิน” และ “แพทองธาร ชินวัตร” ต่างก็อยากขยับแวตใจจะขาด จะได้มีงบประมาณไปถลุงในโครงการหาเสียงที่พูดไว้แล้วทำไม่ได้ก็ยังไม่กล้าแตะ เพราะแม้จะรู้ว่าสร้างรายได้อย่างมากแต่ส่งผลกระทบต่อฐานคะแนน และเสียงก่นด่าของชาวบ้านที่มีมากกว่าเลยถอยดีกว่า เพราะฉะนั้น รัฐบาลอายุ 4 เดือนและรักษาการอีก 1-2 เดือน ก็คงไม่แตะต้องอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นหนทางที่สร้างรายได้ได้เร็วที่สุดก็ตาม ...๐
พูดถึงอุ๊งอิ๊งแล้วก็อดขำพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ที่ทุกวันนี้ใครก็ต่อใครต่างก้าวไปข้างหน้ากันหมดแล้ว แต่ เพื่อไทยยังจมปลักและติดหล่มพรรคส้มเลือกน้ำเงินอยู่ เรียกว่าแทบทุกโอกาสทุกเวทีจะต้องหาช่องหาทางตอกย้ำเรื่องดังกล่าวว่าสร้างความวิปริตผิดปกติให้การเมืองการปกครอง สงสัยว่าพรรคจะไม่มีกระจกส่องดูตัวเอง เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแพทองธารผิดจริยธรรมร้ายแรง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ แต่พรรคเพื่อไทยกลับยังอุ้มสมและให้ท้ายให้เป็น “หัวหน้า” กันหน้าตาเฉยแบบนี้ไม่รู้ว่าใครที่วิปริตผิดปกติมากกว่ากันจ๊ะ ...๐
ท.ศักดิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
น้ำลด การเมืองผุด! หลังเพลาไปช่วงมหาวิปโยคใต้ เวลานี้กลับมาร้อนฉ่าอีกรอบ ช่วงเย็นพุธที่ผ่านมา คล้อยหลัง "นายกฯ อนุทิน" แถลงโชว์ถอนรากสแกมเมอร์เขมรยึดทรัพย์หมื่นล้าน
บันทึกหน้า 4
ต้องยอมรับว่าแม้ “มหาอุทกภัยในภาคใต้” เริ่มคลี่คลายเข้าสู่จุดการเยียวยา-ฟื้นฟูแล้วก็ตามที แต่ยอดผู้เสียชีวิตและความเสียหายก็ยังไม่นิ่งเสียทีเดียว แต่อย่างไรยอดผู้เสียชีวิตก็คงไม่ถึงพันศพตามที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. วาดหวังแน่ๆ แล้ว
บันทึกหน้า 4
หลังวิกฤตน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา คลี่คลาย น้ำตาก็ท่วมเมือง เมื่อชาวหาดใหญ่เห็นสภาพบ้านเรือนของตัวเองกลายเป็นซากปรักหักพัง ทรัพย์สินที่สร้างมาพังพาบไปกับกระแสน้ำแทบสิ้นเนื้อประดาตัว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมความร่วมมือ “รวมใจไทย ฟื้นแดนใต้” ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นแกนกลางในการประสานงานร่วมกับภาคเอกชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
ภายใต้วิกฤตหาดใหญ่ครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ถูกเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ แม้ต้นตอของปัญหาไม่ได้มาจากเขาคนเดียว
บันทึกหน้า 4
ขึ้นต้นเดือนสุดท้ายของปี บรรยากาศสังคมไทยยังคงซึมๆ เศร้าๆ อยู่กับเหตุและเภทภัยที่พี่น้องชาวใต้กำลังเผชิญ "น้ำลดตอผุด" ถูกขุดขึ้นมาเป็นรายวัน เหมือนมีใครบางคนกำลังช่วงชิงสถานการณ์หวัง "ตีกิน" สร้างดรามา แต่งคอนเทนต์ไล่ล่าเอาคะแนนนิยมคืนจากรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย
บันทึกหน้า 4
น้ำใจไทยไม่เคยเหือดแห้ง ถนนทุกสายจากทั่วประเทศมุ่งสู่ใต้ โดยเฉพาะ "มหาวิปโยคหาดใหญ่" ไม่ใช่แค่ทั้งเมืองจมบาดาล ทรัพย์สินเสียหาย แต่รวมถึงชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งมีการอัปเดตตัวเลขช่วงเย็น 27 พ.ย.


