ต้องชมเชยฝ่ายยุทธศาสตร์สหรัฐที่คิดค้นใช้ภาษีเป็นเครื่องมือบีบบังคับให้หลายประเทศยอมรับเงื่อนไข ทำตามสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐต้องการ
รอบเจรจากรกฎาคม 2025 หลายประเทศพยายามขอทรัมป์ 2.0 ลดภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ยอมทำตามเงื่อนไข เช่น นำเข้าพลังงาน สินค้าเกษตร ซื้ออาวุธ รวมทั้งอาจมีข้อตกลงลับ ดังนั้น ภาษีศุลกากรจึงทำหน้าที่ควบคุมให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนต้องการ ตรงกับนิยามของการคว่ำบาตร (การบีบบังคับโดยไม่ใช้กำลังทางทหาร เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามยินยอม ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของฝ่ายคว่ำบาตร) เพียงแต่มาตรการภาษีมักถูกมองว่าเป็นเรื่องการค้า

ภาพ: ประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา
เครดิตภาพ: https://news.un.org/en/story/2025/09/1165920
ต้องชมเชยฝ่ายยุทธศาสตร์สหรัฐที่คิดค้นใช้ภาษีนี้เป็นเครื่องมือบีบบังคับให้หลายประเทศยอมรับเงื่อนไข ทำตามสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐต้องการ
การเบี่ยงเบนประเด็น:
ทรัมป์ 2.0 เบี่ยงเบนประเด็นด้วยการชูปัญหาขาดดุลการค้า ถูกเอารัดเอาเปรียบ อ้างว่าขาดดุลคือการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ยอมกล่าวถึงเรื่องที่คนอเมริกันใช้เงินเกินตัว สินค้าขึ้นราคาต่อเนื่องจนหลายคนรายได้ไม่พอรายจ่าย คนอเมริกันเป็นหนี้สินมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจขยายตัว รายงาน “Global State of Democracy 2025: Democracy on the Move” ที่นำเสนอโดย “สถาบันระหว่างประเทศเพื่อความช่วยเหลือด้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง” (IDEA) เมื่อกันยายน 2025 ชี้ว่า สหรัฐเหลื่อมล้ำมากขึ้นชัดเจน ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว
ถ้าไม่พูดเรื่องขาดดุลการค้า จะอ้างภัยความมั่นคง ทั้งพรรครีพับลิกันกับเดโมแครตต่างใช้ข้ออ้างนี้เพื่อขึ้นภาษี กีดกันการค้า
บางเรื่องพอสมเหตุสมผล เช่น ขึ้นภาษีอะลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก กีดกันเทคโนโลยีระดับสูง แต่บางเรื่องเป็นข้ออ้างมากกว่า เช่น การปล่อยให้ยาเฟนทานิล (fentanyl) เข้าสหรัฐแบบผิดกฎหมาย
กุมภาพันธ์ 2025 จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวถึงการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า โดยยกเรื่องยาเฟนทานิลว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลสหรัฐต้องการใช้อำนาจเศรษฐกิจเพื่อต่อรองให้แคนาดายอมเป็นรัฐหนึ่งตามที่ทรัมป์ต้องการ
วิเคราะห์: ถ้าอ้างภัยความมั่นคง สามารถตีความทุกอย่างเป็นภัยความมั่นคง (ถ้าตีความตามกรอบกว้าง) แม้กระทั่งกระดาษทิชชูกับสำลีจากต่างประเทศก็เป็นภัยความมั่นคงได้ (เช่น ทำลายอุตสาหกรรมทิชชู บ่อนทำลายความมั่นคงด้านการรักษาพยาบาลเพราะต้องพึ่งสำลีต่างชาติ)
มุมมองอีกด้าน รัฐบาลสหรัฐที่ตีความภัยความมั่นคงตามใจชอบ ใช้ภาษีศุลกากรต่อรองเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ พฤติกรรมเช่นนี้ต่างหากที่เป็นภัยความมั่นคงโลก ทำลายเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักทั่วโลกฟันธงว่า ผู้คนนับล้านต้องทุกข์ยากสาหัสจากนโยบายดังกล่าว
รัฐบาลสหรัฐชี้ว่าภาษีศุลกากรไม่ใช่การคว่ำบาตร เพราะนานาชาติยังสามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐ ประเด็นนี้ควรคิดต่อว่าแม้สินค้าเข้าได้แต่ขายไม่ออกหรือขายได้น้อย แพงจนไม่น่าซื้อ เช่นนี้จึงเหมือนการคว่ำบาตร (ไม่ซื้อใช้)
ทางการสหรัฐเป็นผู้ประกาศว่าต้องการขึ้นภาษีอะลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งยังตั้งใจเล่นงานจีน ช่วงหนึ่งเคยขู่ว่าจะขึ้นภาษีถึง 145% ผลคือคนอเมริกันหันไปซื้อสินค้าทดแทนของประเทศอื่น ทางการจีนประกาศไม่ตอบโต้ด้วยภาษี เพราะอัตราภาษีสูงมากจนไม่มีผลต่อผู้บริโภคแล้ว (ไม่มีประโยชน์ที่จะตั้งสูงกว่านี้ เพราะสูงจนคนไม่ซื้อแล้ว) จีนเป็นกรณีพิเศษที่สหรัฐหวังสกัดการก้าวขึ้นมาของจีน พยายามปิดล้อมทุกด้าน ตรงตามยุทธศาสตร์ปิดล้อม
การที่ทางการสหรัฐพยายามชี้ว่าไม่ใช่การคว่ำบาตรก็เพื่อบิดเบือนเจตนา และเป็นนโยบายที่ใช้ง่ายกว่าการคว่ำบาตร (เป็นเรื่องแปลกหากรัฐบาลสหรัฐคว่ำบาตรเศรษฐกิจพันธมิตร อย่างอียู ญี่ปุ่น เกาหลีใต้)
Sophia Busch จาก Geoeconomic Centre ใน Atlantic Council ชี้ว่า ข้อดีของมาตรการภาษีคือยืดหยุ่น ปรับขึ้นลงง่าย
วิเคราะห์: เพราะเป้าหมายของสหรัฐคือนำประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาต่อรอง หวังได้ประโยชน์ด้านอื่นๆ นอกเหนือแก้ปัญหาขาดดุล อีกทั้งหากภาษีส่งผลเสีย เช่น เงินเฟ้อสูงเกิน คนตกงานมาก สหรัฐสามารถปรับลดทันที
นำสู่ความขัดแย้ง:
ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สามารถตีความว่าคือการกีดกันการค้า เพราะรัฐบาลสหรัฐตั้งกำแพงภาษีและจัดเก็บไม่เท่ากัน ประเทศที่โดนอัตราสูงเท่ากับโดนกีดกันมาก
การขึ้นภาษีตอบโต้ไปมากลายเป็นสงครามการค้า แต่เกิดกับบางประเทศเท่านั้น ส่วนใหญ่จะยอมรับอัตราภาษีใหม่
ยกตัวอย่าง กรกฎาคม 2025 อียูตกลงเสียภาษี 15% แก่การส่งสินค้าเข้าสหรัฐ และจะไม่โต้ตอบเก็บภาษีสินค้าสหรัฐเลย ข้อตกลงนี้ไม่นับบางรายการ เช่น เหล็กกับอะลูมิเนียมที่โดน 50% มีรายบางการที่ลดลง เช่น รถอียูจากเดิม 27.5% ตามข้อตกลงใหม่จะเหลือ 15% นอกจากนี้อียูจะนำเข้าพลังงานฟอสซิล (น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ) 250,000 ล้านดอลลาร์ทดแทนการนำเข้าจากรัสเซีย
วิเคราะห์: ถ้าพิจารณาเฉพาะภาษี ข้อตกลงรอบเดือนกรกฎาคม 2025 ค่อนข้างเรียบง่าย สามารถตีความว่ารัฐบาลสหรัฐโกยเงินภาษีศุลกากร 15% เข้าคลังโดยที่อียูไม่ตอบโต้ พร้อมกับกีดกันอียูซื้อใช้พลังงานรัสเซียอย่างน้อย 250,000 ล้านดอลลาร์
Jennifer Burns จาก Stanford University เตือนว่า ภาษีสหรัฐกำลังทำลายโลกาภิวัตน์ (de-globalization) และอาจนำสู่สงครามดังที่เกิดในศตวรรษที่ 20 ... ตลาดเสรี ภาษีต่ำช่วยนำนานาประเทศเข้าหากัน ควรที่จะทำลายระบบดังกล่าวหรือไม่
วิเคราะห์: กรกฎาคม 2025 IMF เตือนว่า การแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ามีแต่จะสร้างความตึงเครียด หลายประเทศจะใช้มาตรการนี้มากขึ้น ผลคือยิ่งบั่นทอนเศรษฐกิจโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประทศแย่ลง โดยที่ปัญหาขาดดุลไม่ดีขึ้น
ข้อสรุปของ IMF ชัดเจน รัฐบาลสหรัฐกำลังนำโลกให้ขัดแย้งกันมากขึ้น สอดคล้องกับความพยายามจัดระเบียบโลกใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นใหม่ สหรัฐจะเน้นค้าขายกับพวกเดียวกัน กีดกันรัสเซียกับจีนออกไป
เครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ:
กรกฎาคม 2025 รัฐบาลทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากบราซิล 50% หากศาลบราซิลตัดสินลงโทษอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร (Jair Bolsonaro) ใช้มาตรการภาษีกดดันการเมืองบราซิล แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ทรัมป์ประกาศให้คดีอดีตประธานาธิบดีบราซิลเป็น “ภาวะฉุกเฉินต่อความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ” ใช้อำนาจตามกฎหมาย IEEPA ซึ่งเป็นกฎหมายความมั่นคง ขึ้นภาษีเพิ่มเติม 40% จากอัตราภาษีขั้นต่ำ 10% ภาษีรวมสำหรับสินค้าบราซิลส่วนใหญ่สูงถึง 50%
อดีตประธานาธิบดีโบลโซนาโรดำเนินนโยบายใกล้ชิดสหรัฐ โดนข้อหาพยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา (Lula da Silva-รัฐบาลปัจจุบัน 2024) ทรัมป์ขอให้รัฐบาลปล่อยตัวโบลโซนาโร แต่ผู้นำบราซิลคนปัจจุบันโต้กลับว่า “ชาวบราซิลมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาธิปไตยของตัวเอง”
ล่าสุด สิงหาคม 2025 ทรัมป์ 2.0 เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากบราซิลในอัตรา 50%
วิเคราะห์: บราซิลเป็นอีกตัวอย่าง ชี้ชัดว่าทรัมป์ 2.0 ใช้มาตรการภาษีเพื่อเป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่เรื่องการค้า เป็นกรณีที่ทำอย่างเปิดเผย (ในการประกาศขึ้นภาษีรอบเมษายน บราซิลโดนแค่ 10% แต่รอบนี้ทรัมป์ยกเรื่องโบลโซนาโร จึงบวกเพิ่มกลายเป็น 50%)
ทรัมป์ 2.0 ไม่พูดว่ามาตรการภาษีเป็นการคว่ำบาตร แต่ใช้มาตรการนี้บีบให้อีกฝ่ายยอมรับข้อเรียกร้องซึ่งอาจเป็นด้านเศรษฐกิจกับด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่เศรษฐกิจ ถ้าใช้มาตรการภาษีแบบขีดสุดถึงจุดหนึ่ง ปริมาณการค้าจะหดหายไป จึงสรุปว่า ภาษีศุลกากรจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐสามารถถือเป็นมาตรการคว่ำบาตรอย่างอ่อนจนถึงอย่างแรง ขึ้นกับอัตราภาษี กับเงื่อนไขอื่นๆ ทั้งที่เปิดเผยและปิดลับ (บางครั้งตกลงกับคู่เจรจาไม่ได้จากเงื่อนไขที่ไม่ใช่ภาษี).
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว



