
ประเทศไทยไม่มีความเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เรามีทรัพยากรที่ดีๆ และเป็นทุนของการพัฒนามากมาย แต่เราไม่สามารถเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศให้มีความเจริญรุดหน้าเท่ากับประเทศที่มีทรัพยากรเป็นทุนในการพัฒนาน้อยกว่าเรา ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะการเมืองของเราพิกลพิการจากพฤติกรรมของภาคส่วนต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง
เราไม่มีฝ่ายค้านที่แท้จริง เรามีแต่ฝ่ายแค้น คือพรรคการเมืองที่แค้นและอิจฉาพรรคการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาล แต่ตัวเองไม่ได้เป็น ดังนั้นเมื่อเป็นฝ่ายค้านจึงตั้งหน้าตั้งตาด้อยค่าพรรคที่เป็น
รัฐบาลด้วยข้อความที่เป็นเท็จอย่างไม่มีความละอาย แค่นั้นยังไม่พอ พรรคฝ่ายค้านที่มีความแค้นและความริษยาเป็นที่ตั้ง ยังมีแนวร่วมอีกมากมาย มีนักการเมืองหลายคนยอมสยบเป็นขี้ข้าที่ยินดีรับใช้ ยินดีให้ความร่วมมือกับพรรคฝ่ายแค้น นายใหญ่จะสั่งให้ทำอะไร พวกเขาก็จะทำตามคำสั่งอย่างไม่อิดเอื้อน ไม่ว่าสิ่งต้องทำนั้นจะผิดถูกอย่างไร พวกเขาทำตัวเป็นนั่งร้านให้กับนายใหญ่ที่มี DNA ของความขี้โกงเป็นที่ตั้ง
แล้วยังมีข้าราชการ ผู้รู้กฎหมาย รู้กฎ รู้ระเบียบเป็นอย่างดี ยอมทำตัวเป็นแนวร่วมของนักการเมืองชั่ว ด้วยการชี้ช่องโหว่ของกฎหมาย เปิดโอกาสให้นักการเมืองชั่วใช้ตำแหน่ง ใช้อำนาจในการโกงประเทศ และดำรงความเป็นใหญ่ในการบริหารประเทศ เพราะพวกเขาหวังตำแหน่ง หวังเงินทองที่นักการเมืองชั่วๆ จะประเคนให้ เวลาเป็นคดีขึ้นมาก็รับหน้าเสื่อเป็นคนรับผิด ติดคุกติดตะรางแทนนักการเมืองชั่วๆ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาแล้วกี่ครั้ง ติดคุกกันแล้วกี่คน แต่ละคนโดนกันไปคนละกี่ปี ก็ไม่เข็ดไม่หลาบกัน ยังคงทำตัวเป็นผู้ชี้ทางชั่วให้กับ นักการเมืองชั่วกันต่อไป
นักวิชาการที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้รู้ แทนที่จะใช้ภาพลักษณ์ดังกล่าวนั้นชี้นำประชาชนให้รู้ให้เข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง กลับใช้สถานะของความเป็นนักวิชาการในการชี้แจง ตีความกฎหมาย ตีความการกระทำของนักการเมืองชั่ว จากเรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดี จากดำกลายเป็นขาว สร้างความชอบธรรมให้กับการทำชั่วของ นักการเมือง ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ การใช้สถานะของการเป็นผู้รู้ช่วยนักการเมืองชั่ว กระหน่ำด้อยค่านักการเมืองชั้นดีที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างไม่มีความละอาย
สถานการณ์เช่นนี้เพิ่มความพิกลพิการให้กับการเมืองของไทยโดยสื่อมวลชนบางราย ที่ต้องการงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์จากหน่วยงานราชการภายใต้การกำกับของนักการเมืองที่เป็นข้าทาสบริวารของนักการเมือง นายใหญ่ สื่อบางรายก็เป็นเช่นนี้ในระดับ “สำนัก” และสื่อบางคนก็เป็นเช่นนี้ในระดับ “ส่วนตัว” พวกเขาเชียร์นักการเมืองชั่ว และด้อยค่าเหยียบย่ำนักการเมืองดี จนทำให้นักการเมืองชั่วได้รับความนิยมเหนือกว่านักการเมืองดี การเมืองของไทยที่เป็นเช่นนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะพฤติกรรมของสื่อมวลชนบางคน บางสำนัก ที่มุ่งหวังจะได้งบโฆษณาจากนักการเมืองเลวๆ หลับหูหลับตาเชียร์คนเลว และทำลาย ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของนักการเมืองดี
อีกภาคส่วนหนึ่งก็คือผู้รักษากฎหมาย ทั้งที่เป็นข้าราชการในกระบวนการยุติธรรม และเป็นกรรมการองค์กรอิสระ ที่มีพฤติกรรมยอมให้อำนาจอยู่เหนือกฎหมาย ทำลายความเป็นนิติรัฐของประเทศไทย บางครั้งก็บิดเบือนการตีความกฎหมาย บางครั้งก็ใส่เกียร์ว่างไม่จัดการกับนักการเมืองที่ทำชั่ว ไม่รู้ว่ากลัว หรือเกรงใจ หรือได้รับผลประโยชน์ หลายคนจึงยอมเสียศักดิ์ศรี เสียเกียรติ กลายเป็นเสียคนตอนแก่ คุณงามความดีที่เคยทำมาในอดีตมลายหายไปสิ้น จนประชาชนตั้งคำถามว่าหน่วยงานพวกนี้มีไปทำไม หลายคนเสียดายเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้กับคนพวกนี้ที่ไม่ทำหน้าที่ในการธำรงกระบวนการยุติธรรมของไทย
ภาคส่วนที่ร้ายที่สุด ก็คงจะเป็นประชาชนที่มีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ที่ไม่มีวุฒิภาวะและจิตสาธารณะที่ดีพอในการพิจารณาว่าจะเลือกใคร แทนที่จะพิจารณาความรู้ความสามารถ คุณงามความดีของผู้สมัคร กลับให้ความสนใจกับนโยบายในการหาเสียงของพรรคการเมือง โดยให้ความสนใจโครงการประชานิยมต่างๆ ที่ตนเองจะได้รับผลประโยชน์ โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่จะเอาผลประโยชน์จากประชานิยมมาให้นั้นเป็นคนดีหรือไม่ดี ไม่เคยคิดถึงประเทศชาติว่าโครงการประชานิยมเหล่านั้นจะทำให้ประเทศชาติเสียหายอย่างไร ขนาดรู้ว่านักการเมืองบางคนโกงก็จะเลือก และพูดว่า “จะโกงไม่เป็นไร ถ้าหากทำให้ประชาชนมีกินมีใช้” ตราบใดที่เรายังยกโทษให้คนทำชั่ว ทำร้ายแผ่นดินอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เราจะทำให้การเมืองไทยหายพิกลพิการ และประเทศไทยมีการพัฒนาได้อย่างไร
นอกจากนักการเมืองฝ่ายแค้นแล้ว เรายังมีนักการเมืองฝ่ายค้ำที่ยกมือให้หัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ร่วมรัฐบาล แล้วพูดชัดเจนว่าไม่ได้ยกมือให้เป็นรัฐบาลเพื่อให้มาทำงานใดๆ ให้กับประชาชน แต่ต้องการให้มายุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ และให้มาจัดการให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ คือให้เอาเรื่องจริยธรรมออกไป และลดอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่เขามองว่าเป็นเครื่องมือของนิติสงคราม และพรรคฝ่ายค้านนี้ยังพูดจาเป็นพวกเดียวกับศัตรูของประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาอวยเขมร และตำหนิการทำงานของทหารที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของไทย รักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ทำตัวเป็นศัตรูกับทหาร สร้างวาทกรรมด้อยค่าทหาร ไม่ยอมรับอำนาจของทหารในภาวะสงครามที่เรากำลังเผชิญอยู่ แปลกไหมล่ะ ยกมือให้เป็นรัฐบาล แต่ไม่ต้องการให้ทำงานเพื่อประชาชน แต่ให้ทำงานตามวาระที่พรรคต้องการ นี่แหละความพิกลพิการของการเมืองไทย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความจริงเทียมทำร้ายสังคม
การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)
น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'
ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้
เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'
ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม
ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569
ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว
เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน
ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์
แด่..อาจารย์'สุธี ประศาสน์เศรษฐ'
หลังออกจากห้อง ไอซียู เมื่อเกือบ 2-3 ปีที่แล้ว...หนึ่งในผู้ที่โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ไปเชียร์ให้สู้ๆ เข้าไว้ ก็คือ ดร.สุธี ประศาสน์เศรษฐ ผู้ที่แนะนำตัวเองด้วยสำเนียงติดตลกมาทางโทรศัพท์


