
ช่วงนี้ พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ “นายกฯ หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ดูจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่เพียงมีความเคลื่อนไหวภายในพรรคเท่านั้น แต่ยังมีอดีต สส.จากหลายพรรค โดยเฉพาะจากพรรค “เพื่อไทย” ทยอยย้ายค่ายเข้ามาร่วมอย่างต่อเนื่อง จนคนในแวดวงการเมืองพูดกันว่า สีน้ำเงิน กำลังค่อยๆ กลืน สีแดง แบบเงียบๆ
เริ่มจาก โกศล ปัทมะ อดีต สส.โคราชชื่อดังของเพื่อไทย ที่มีข่าวว่าเตรียมเปิดตัวกับภูมิใจไทย เช่นเดียวกับ “พงศกร อรรณนพพร” อดีต สส.ขอนแก่น ที่มาพร้อมกันแบบแพ็กคู่
ด้าน ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีต สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ก็พูดตรงๆ ว่า “เครื่องมันพัง” เพราะพรรคเดิมไม่สามารถผลักดันนโยบายแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรได้ตามที่ตั้งใจ เขายืนยันว่ามาไม่ได้มาคนเดียว แต่หอบ สส.อีกเกือบสิบคนมาสวามิภักดิ์กับ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ พร้อมประกาศมั่นใจว่า น.ส.วิสุดา วิเชียรศิลป์ ลูกสาว ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส.กาญจนบุรี จะชนะในวันที่ 19 ตุลาคมนี้แน่นอน เพราะ “คลื่นลูกหลังต้องแรงกว่าคลื่นลูกเก่า!”
ขณะเดียวกันภายในพรรคเพื่อไทยเองก็กำลังเกิดแรงสั่นสะเทือน เมื่อมีกระแสไม่พอใจในหมู่กลุ่ม “ดาวฤกษ์” และ “บ้านใหญ่” ที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่ม แป้งมันโคราช ที่มี สส.อยู่ในมือถึง 8 คน แต่กลับถูกมองเป็น “คนนอก” ของสายบ้านจันทร์ส่องหล้า ทั้งที่กลุ่ม ประเสริฐ จันทรรวงทอง แกนนำพรรค มีเพียง 4 คน กลับได้ถึงตำแหน่ง “รองนายกฯ และรัฐมนตรีหลัก” เสียงบ่นภายในพรรคจึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้ถึงจุดแตกหัก
ต้องจับตาว่า ไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู 7 สมัย และ ฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด 9 สมัย จะเลือก “ตายดาบหน้า” กับพรรคที่ให้ที่ยืนทางการเมืองใหม่หรือไม่ ขณะที่ฝั่งอุบลฯ เกรียง กัลป์ตินันท์ หัวหน้าบ้านใหญ่อุบลฯ ก็ถูกจับตาเช่นกัน หลังมีคนเห็นไปปรากฏตัวที่โรงแรมดังย่านรางน้ำ ฐานบัญชาการของ “ทีมภูมิใจไทย”
ภาพรวมตอนนี้ทำให้ “เพื่อไทย” ดูไม่ค่อยสดใส แม้จะประกาศ “ยกเครื่องใหม่” แต่คำถามที่หลายคนเริ่มตั้งก็คือ เลือด “เพื่อไทย” จะหยุดไหลได้หรือไม่ หรือสุดท้ายพลังสีน้ำเงินจะกวาด สส.บ้านใหญ่ เกลี้ยง
ส่วนอีกหนึ่งสมรภูมิสำคัญคือ การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 14-15 ตุลาคม 2568 ซึ่งกลายเป็น “จุดตัดทางการเมือง” ที่จะกำหนดทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 หลังจากคณะกรรมการประสานงานร่วมรัฐสภา (วิป 3 ฝ่าย) กำหนดวาระพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ทั้งสามฉบับ ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย (สีน้ำเงิน), พรรคเพื่อไทย (สีแดง) และพรรคประชาชน (สีส้ม)
แม้ร่างทั้งสามจะมีรายละเอียดต่างกัน แต่โฆษกวิปวุฒิสภาคาดว่า ทั้งหมดน่าจะผ่านวาระรับหลักการที่ 1 เพื่อให้กระบวนการเดินหน้าต่อ และหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาว่า สว. ขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมรักษาบรรยากาศการเมือง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่แท้จริงอยู่ที่ “วาระที่ 3” ซึ่งต้องใช้เสียง สว.เห็นชอบอย่างน้อย 1 ใน 3 โดยมีสองประเด็นขัดแย้งหลักคือ
ข้อ 1 การห้ามแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 พรรคภูมิใจไทยยืนยันว่า “ยุ่งไม่ได้” ซึ่งสอดคล้องกับ สว. ส่วนใหญ่กว่า 80-90% ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้หมวดนี้ ขณะที่ร่างของเพื่อไทยก็ห้ามแตะต้องหมวดนี้เช่นกัน แต่ร่างของพรรคประชาชนเปิดทางให้ร่างใหม่ได้ทั้งฉบับ
ข้อ 2 ที่มาของ ส.ส.ร. หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่สามารถให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ ทำให้ทุกพรรคต้องออกแบบโมเดลที่ให้ ส.ส.ร. “ยึดโยงกับรัฐสภา”
ร่างทั้งสามสะท้อนอุดมการณ์ต่างกันชัดเจน สีน้ำเงิน (ภูมิใจไทย) ถูกมองว่า “ปลอดภัยที่สุด” ในสายตา สว. เสนอให้มี ส.ส.ร. 99 คน โดยส่วนใหญ่มาจากการคัดเลือกของรัฐสภา, สีแดง (เพื่อไทย) เป็น “ทางสายกลางของการประนีประนอม” เสนอให้มี ส.ส.ร. 140 คน มาจากการเลือกตั้งเบื้องต้น ก่อนให้รัฐสภาคัดเลือกอีกครั้ง ตามที่ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยแถลงไว้ ส่วนสีส้ม (พรรคประชาชน) เน้น “เริ่มต้นจากประชาชน” มากที่สุด แต่ถูกมองว่า “สุดโต่งเกินไป” และอาจขัดต่อคำวินิจฉัยศาลจนถูกยื่นตีความให้เสียเวลาได้
คอการเมืองประเมินว่า หากต้องการให้รัฐธรรมนูญผ่านตามเงื่อนไขในบันทึกข้อตกลง (MOA) ร่างของพรรคภูมิใจไทยน่าจะมีโอกาสมากที่สุดที่จะเดินหน้าได้จริง เพราะว่ากันว่าเสียงและเครือข่ายในรัฐสภามีมากที่สุดใช่หรือไม่.
คางดำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
น้ำลด การเมืองผุด! หลังเพลาไปช่วงมหาวิปโยคใต้ เวลานี้กลับมาร้อนฉ่าอีกรอบ ช่วงเย็นพุธที่ผ่านมา คล้อยหลัง "นายกฯ อนุทิน" แถลงโชว์ถอนรากสแกมเมอร์เขมรยึดทรัพย์หมื่นล้าน
บันทึกหน้า 4
ต้องยอมรับว่าแม้ “มหาอุทกภัยในภาคใต้” เริ่มคลี่คลายเข้าสู่จุดการเยียวยา-ฟื้นฟูแล้วก็ตามที แต่ยอดผู้เสียชีวิตและความเสียหายก็ยังไม่นิ่งเสียทีเดียว แต่อย่างไรยอดผู้เสียชีวิตก็คงไม่ถึงพันศพตามที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. วาดหวังแน่ๆ แล้ว
บันทึกหน้า 4
หลังวิกฤตน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา คลี่คลาย น้ำตาก็ท่วมเมือง เมื่อชาวหาดใหญ่เห็นสภาพบ้านเรือนของตัวเองกลายเป็นซากปรักหักพัง ทรัพย์สินที่สร้างมาพังพาบไปกับกระแสน้ำแทบสิ้นเนื้อประดาตัว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมความร่วมมือ “รวมใจไทย ฟื้นแดนใต้” ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นแกนกลางในการประสานงานร่วมกับภาคเอกชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
ภายใต้วิกฤตหาดใหญ่ครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ถูกเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ แม้ต้นตอของปัญหาไม่ได้มาจากเขาคนเดียว
บันทึกหน้า 4
ขึ้นต้นเดือนสุดท้ายของปี บรรยากาศสังคมไทยยังคงซึมๆ เศร้าๆ อยู่กับเหตุและเภทภัยที่พี่น้องชาวใต้กำลังเผชิญ "น้ำลดตอผุด" ถูกขุดขึ้นมาเป็นรายวัน เหมือนมีใครบางคนกำลังช่วงชิงสถานการณ์หวัง "ตีกิน" สร้างดรามา แต่งคอนเทนต์ไล่ล่าเอาคะแนนนิยมคืนจากรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย
บันทึกหน้า 4
น้ำใจไทยไม่เคยเหือดแห้ง ถนนทุกสายจากทั่วประเทศมุ่งสู่ใต้ โดยเฉพาะ "มหาวิปโยคหาดใหญ่" ไม่ใช่แค่ทั้งเมืองจมบาดาล ทรัพย์สินเสียหาย แต่รวมถึงชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งมีการอัปเดตตัวเลขช่วงเย็น 27 พ.ย.


