
ในยุคที่ข่าวปลอมแพร่ระบาด สื่อน้อยใหญ่ยังตกเป็นเหยื่อ เพราะต้องการความไวมากกว่าความถูกต้อง ได้เกิดผลกระทบในวงกว้าง บางข่าวคนไทยส่วนใหญ่อยากให้เกิด แต่กลับพบว่าเป็นข่าวไร้ที่มาที่ไป เช่นข่าวเกาหลีใต้เตรียมแฉนักการเมืองไทย 7 คน พัวพันธุรกิจสีเทาใต้ดินในเขมร จนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซศเชียลระบุว่า ขอชี้แจงให้ทราบว่า บทความของสื่อที่รายงานว่า ‘นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เปิดเผยถึง นักการเมืองไทย 7 คนที่พัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา’ นั้น ไม่เป็นความจริง โดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีจะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อข่าวปลอมดังกล่าว ...๐
ข่าวนี้หากพิจารณาในข้อเท็จจริง หากมีนักการเมืองไทย 7 คนพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาจริง โดยมารยาททางการทูต ประธานาธิบดีเกาหลีใต้จะใช้ช่องทางทางการทูตที่มีอยู่เพื่อให้ไทยเป็นฝ่ายดำเนินการกับนักการเมือง 7 คน แต่จะไม่ประกาศรายชื่อออกมา ฉะนั้นข่าวนี้มีพิรุธตั้งแต่แรก รวมทั้งที่มาไม่น่าเชื่อถือ การเสพข่าวสารยุคนี้จึงต้องตรวจสอบแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อข่าวปลอม แม้กระทั่งสื่อด้วยกันเองก็ยังตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ...๐
แต่ในความปลอมของข่าวมีคนไทยจำนวนมากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จริงตรงที่ว่ามีนักการเมืองไทยเข้าไปพัวพันธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชาจริง ส่วนจะกี่คนนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด และไม่เฉพาะนักการเมืองเท่านั้น นักธุรกิจ ข้าราชการจากประเทศไทยมีเอี่ยวกับธุรกิจมืดในกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ...๐
ขณะที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ต่อสายพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แต่ทางเกาหลีไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย “ถึงบอกว่าต้องตรวจสอบก่อน เพราะข่าวนี้มาจากเพจออนไลน์ ก็ต้องตรวจสอบ ตอนที่ผมหารือกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ท่านก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่หากมีจริง ผมก็จะมีโอกาสพบกับท่านในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่ประเทศเกาหลีใต้ ในอีก 2 สัปดาห์นี้...”
มีคำถามออกมามากมายว่า ทำไมรัฐบาลไทยไม่จัดการกับเขมรในแบบที่เกาหลีใต้ทำบ้าง หนึ่งในนั้นคือ พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ทำไมเราจึงไม่ทำแบบเกาหลีใต้บ้าง!
“...หลายคนพยายามชี้นำให้ไทยจัดการปัญหากับกัมพูชาให้รวดเร็ว ทันใจ แบบเกาหลีใต้บ้าง เพราะคนของเรา ไม่ว่าจะทำผิดอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่ควรไปนอนตายกลางถนนในกัมพูชาแบบที่เป็นข่าวไปแล้ว โดยที่ไม่มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนคนไหนออกมาท้วงติง นี่ไม่รวมถึงเด็กๆ ของเราที่ต้องตายแบบน่าอนาถใจจากจรวดทำลายของกัมพูชา เรื่องนี้มาลองทบทวนกันดูนะครับ เริ่มต้นด้วยคำถามว่า “ทำไมเกาหลีใต้จึงกล้าทำแบบนี้”
1.เกาหลีใต้กับไทย เหมือนกันตรงที่มีศักยภาพทางทหารเหนือกว่ากัมพูชาทั้งคู่ แต่เกาหลีใต้มีเหนือกว่าไทยอีก ตรงที่มียุทโธปกรณ์และ “ฐานทัพสหรัฐฯ” คอยหนุนหลังอยู่ด้วย จึงเป็นที่เกรงอกเกรงใจของนานาชาติ ส่วนไทยนั้นเป็นกลางไม่มีใครหนุน
2.ถ้าเป็นประเทศที่มีชายแดนติดกัน เกาหลีใต้ก็คงลำบากใจที่จะทำแบบนี้เช่นกัน เพราะเรื่องราวอาจขยายตัวออกไปเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ ไทยเราก็ตกที่นั่งในลักษณะนี้ จึงต้องปฏิบัติกับกัมพูชาด้วยกติกาสากล เริ่มจากเบาๆ ไปหาหนักครับ เพราะไทยก็ไม่สามารถย้ายแผ่นดินหนีกัมพูชาไปได้เช่นกัน
3.จากเหตุผลในข้อ 1. เราจึงเห็นเกาหลีใต้ใช้ลำโพงเปิดเพลงป๊อป ให้ทหารเกาหลีเหนือฟัง(ก่อกวน) อยู่นาน เนื่องมาจากทางกองทัพเกาหลีเหนือได้ปล่อยบอลลูนบรรจุขยะถึง 260 ลูก ที่ใส่ทั้ง มูลสัตว์และขยะ เข้ามาทิ้งในฝั่งเกาหลีใต้ก่อน สัดส่วนการตอบโต้จึงพอๆ กัน
4.ต่อมาเกาหลีเหนือก็ตั้งลำโพงกระจายเสียงตอบโต้เกาหลีใต้บ้าง ต่างคนต่างเปิดใส่กันอยู่หลายวัน เกาหลีใต้ก็เริ่มเดือดร้อน เพราะประชาชนเกาหลีใต้ เริ่มได้รับผลกระทบจากมลพิษทางเสียงเช่นกัน จนออกมาท้วงติงรัฐบาลตนเอง ส่วนเกาหลีเหนือนั้น ประชาชนอยู่ลึกเข้าไปจากชายแดน และถึงเดือดร้อน ก็ไม่สามารถออกมาโวยวายได้
…ในมุมมองของผม ช่วงนี้เป็นโอกาสทองของรัฐบาลไทย และทหารของชาติ ที่จะเคลื่อนไหวเชิงรุก จัดการปัญหาของกัมพูชาให้เร็วขึ้น เพราะฮุน เซน กำลังเจอปัญหาหลายด้านจนหัวหมุนไปหมด ดังนั้นเราจะทำอะไรก็รีบทำเถอะครับ ให้มันจบๆ ไป หลังจากนั้นไทยกับกัมพูชาจะได้กลับมาพูดคุยกันใหม่ แบบมีเหตุมีผล อย่างคนมีอารยะเค้าคุยกัน ...”
ว่าไปแล้วเสียดายโอกาสในการตอบโต้กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ประเทศไทยโดนยิงด้วยจรวด MB 21 แล้ว เราตอบโต้ทางทหารน้อยไปจนเขมรได้ใจ มีบางคนเคยเสนอแนะว่าน่าจะทำลายที่ตั้งทางทหารของเขมรให้ลึกไปถึงพนมเปญ เพื่อทำลายอำนาจทางทหาร ก็เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน ...๐
นายชื่น ประชา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
น้ำลด การเมืองผุด! หลังเพลาไปช่วงมหาวิปโยคใต้ เวลานี้กลับมาร้อนฉ่าอีกรอบ ช่วงเย็นพุธที่ผ่านมา คล้อยหลัง "นายกฯ อนุทิน" แถลงโชว์ถอนรากสแกมเมอร์เขมรยึดทรัพย์หมื่นล้าน
บันทึกหน้า 4
ต้องยอมรับว่าแม้ “มหาอุทกภัยในภาคใต้” เริ่มคลี่คลายเข้าสู่จุดการเยียวยา-ฟื้นฟูแล้วก็ตามที แต่ยอดผู้เสียชีวิตและความเสียหายก็ยังไม่นิ่งเสียทีเดียว แต่อย่างไรยอดผู้เสียชีวิตก็คงไม่ถึงพันศพตามที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีต รอง ผบ.ตร. วาดหวังแน่ๆ แล้ว
บันทึกหน้า 4
หลังวิกฤตน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา คลี่คลาย น้ำตาก็ท่วมเมือง เมื่อชาวหาดใหญ่เห็นสภาพบ้านเรือนของตัวเองกลายเป็นซากปรักหักพัง ทรัพย์สินที่สร้างมาพังพาบไปกับกระแสน้ำแทบสิ้นเนื้อประดาตัว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมความร่วมมือ “รวมใจไทย ฟื้นแดนใต้” ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เป็นแกนกลางในการประสานงานร่วมกับภาคเอกชนและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
ภายใต้วิกฤตหาดใหญ่ครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ถูกเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ แม้ต้นตอของปัญหาไม่ได้มาจากเขาคนเดียว
บันทึกหน้า 4
ขึ้นต้นเดือนสุดท้ายของปี บรรยากาศสังคมไทยยังคงซึมๆ เศร้าๆ อยู่กับเหตุและเภทภัยที่พี่น้องชาวใต้กำลังเผชิญ "น้ำลดตอผุด" ถูกขุดขึ้นมาเป็นรายวัน เหมือนมีใครบางคนกำลังช่วงชิงสถานการณ์หวัง "ตีกิน" สร้างดรามา แต่งคอนเทนต์ไล่ล่าเอาคะแนนนิยมคืนจากรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย
บันทึกหน้า 4
น้ำใจไทยไม่เคยเหือดแห้ง ถนนทุกสายจากทั่วประเทศมุ่งสู่ใต้ โดยเฉพาะ "มหาวิปโยคหาดใหญ่" ไม่ใช่แค่ทั้งเมืองจมบาดาล ทรัพย์สินเสียหาย แต่รวมถึงชีวิตที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งมีการอัปเดตตัวเลขช่วงเย็น 27 พ.ย.


