การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
ทรัมป์ 2.0 มาพร้อมกับการข่มขู่สารพัด ขู่ว่าจะเล่นงานด้วยภาษี ตัดความช่วยเหลือ จนถึงใช้กำลังทหาร ที่ผ่านมารัฐบาลทรัมป์ข่มขู่ใช้กำลังทหารกับหลายประเทศ เช่น เรื่องนำคลองปานามา (Panama Canal) กลับมาเป็นของสหรัฐ ขู่ใช้กำลังกับฮามาสหากไม่ยอมลงนามข้อตกลงกับอิสราเอล ในที่นี้นำเสนอ 3 ตัวอย่างคือ กรณีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ไนจีเรียและเวเนซุเอลา ดังนี้

ภาพ: ทรัมป์ 2.0 ประกาศทำสงครามกับพ่อค้ายาเสพติด
เครดิตภาพ: ปัญญาประดิษฐ์
โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน:
มิถุนายน 2025 หนึ่งสัปดาห์ก่อนการปะทะอิสราเอล-อิหร่าน รัฐบาลทรัมป์ยืนยันอิหร่านต้องรับเงื่อนไขไม่เสริมสมรรถนะนิวเคลียร์อีกต่อไป เพราะจะนำไปใช้ในทางอื่น (สร้างอาวุธนิวเคลียร์) พูดเป็นนัยว่าหากไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้จะโดนโจมตี
อาวุธนิวเคลียร์คือเหตุผลหลักที่อิสราเอลชี้ว่ามีความชอบธรรมที่จะโจมตีอิหร่าน ทั้งๆ ที่รัฐบาลอิหร่านยืนยันเรื่อยมาว่าไม่มีและไม่คิดมี เนื่องจากผิดบัญญัติศาสนา
หลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือ สัปดาห์แรกที่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน สถานทูตอิหร่านประจำอินเดียเผยแพร่แถลงการณ์ของ Rafael Grossi อธิบดี IAEA ว่า “ยังไม่มีหลักฐานชี้ว่า (อิหร่าน) กำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์” เรื่องนี้สวนทางกับแถลงการณ์ของรัฐบาลอิสราเอล ที่กล่าวหาอิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์และใกล้จะสำเร็จแล้ว
ไม่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รัฐบาลสหรัฐกับเนทันยาฮูร่วมกันใช้กำลังทางอากาศโจมตีโครงการนิวเคลียร์หลายแห่ง สร้างความเสียหายไม่น้อย
ทางการจีนชี้ว่า สหรัฐโจมตีอิหร่าน ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติกับกฎหมายระหว่างประเทศ ขยายความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง
วิเคราะห์: เป็นอีกครั้งที่ผู้พยายามอ้างตัวเป็นผู้นำฝ่ายเสรีประชาธิปไตยโลก ผู้พยายามให้นานาชาติปฏิบัติตามกฎหมายนานาชาติ แต่ตัวเองกลับละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
ผู้ก่อการร้ายไนจีเรีย:
ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ใช้กำลังทหารต่อไนจีเรียจากเหตุต่อต้านคริสเตียน กล่าวหารัฐบาลไนจีเรียไม่พยายามปกป้องคนนับถือคริสต์ ตนได้สั่งให้กองทัพเตรียมตัวจัดการผู้ก่อการร้ายอิสลาม (Islamic Terrorists)
ทรัมป์ชี้ว่าผู้ก่อการร้ายสังหารคริสเตียนในประเทศทุกที่ รัฐบาลไนจีเรียมี 2 ทางเลือก คือคุ้มครองคริสเตียนทันที ไม่เช่นนั้นสหรัฐจะลงมือจัดการผู้ก่อการร้าย ก่อนหน้านี้ทรัมป์ตีตราว่าไนจีเรียละเมิดเสรีภาพทางศาสนา องค์กรคริสเตียนกับนักการเมืองสหรัฐหลายคนชี้ว่าคริสตชนที่นั่นถูกคุกคาม ถูกทำร้าย
ด้านไนจีเรียแย้งว่า รัฐบาลปกป้องพลเมืองของตนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ความจริงแล้วไม่มีการสังหารหมู่ผู้นับถือคริสต์แต่อย่างไร มีข้อมูลว่าเฉพาะปี 2025 คนไนจีเรียกว่า 8,000 ถูกสังหาร คนเหล่านี้บางส่วนนับถือคริสต์ บางส่วนเป็นมุสลิม
ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่าหากสหรัฐลงมือจะเป็นอย่างไร คงเน้นโจมตีทางอากาศ ส่งหน่วยรบพิเศษจัดการผู้ก่อการร้ายบางจุด ใช้โดรนไล่ล่าผู้ก่อการร้ายเหมือนที่ทำเรื่อยมา ปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายในไนจีเรียอาจคล้ายสงครามต่อต้านก่อการร้ายกรณีอื่นๆ
กรณีไนจีเรียเพิ่งเป็นข่าวไม่นาน จึงยังต้องติดตามความคืบหน้า เรื่องนี้น่าสนใจเพราะ รัฐบาลสหรัฐคิดใช้กำลังทหารเพื่อปกป้องคนนับถือคริสต์ซึ่งไม่ใช่คนอเมริกัน หากทำเช่นนี้จริงในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะกลายเป็นสงครามศาสนาหรือไม่
กรณีเวเนซุเอลา:
รัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐนับทศวรรษทำนองเดียวกับอิหร่าน รัฐบาลสหรัฐพยายามปิดล้อม จ้องโค่นล้มรัฐบาลประเทศนี้
ยกตัวอย่าง พฤษภาคม 2020 สื่อเวเนซุเอลาเผยแพร่คำสารภาพของอดีตทหารผ่านศึกอเมริกันคนหนึ่งที่ถูกจับได้ สารภาพว่าภารกิจคือจับตัวประธานาธิบดีมาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลาไปสหรัฐ ด้านทำเนียบขาวชี้แจงทันทีว่ารัฐบาลสหรัฐไม่มีส่วนรู้เห็นปฏิบัติการดังกล่าว
ไม่ว่าจริงเท็จอย่างไร ความเป็นปรปักษ์นั้นชัดเจน เมื่อทรัมป์ 2.0 ประกาศทำสงครามกับพ่อค้ายาเสพติด เวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในเป้าหมายทันที ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่าเลือกปฏิบัติหรือไม่ ดูเหมือนจะมุ่งจัดการพ่อค้ายาที่เกี่ยวข้องกับประเทศเวเนซุเอลาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่
รอบนี้รัฐบาลสหรัฐยกเรื่องเฟนทานิล (fentanyl) ซึ่งในทางการแพทย์เป็นยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ (Opioids) แต่บางคนใช้อย่างผิดๆ กลายเป็นยาเสพติด
ตุลาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ตอนนี้สหรัฐกำลังทำสงครามกับพ่อค้ายาเสพติด ตีตราว่าพวกนี้เป็นผู้ก่อการร้าย การทำสงครามสังหารคนพวกนี้เป็นการป้องกันตัวเอง พวกนี้เป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติ ยาเสพติดทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตปีละหลายหมื่นคน ชี้ว่าพวกนี้มีกองกำลังนอกกฎหมาย พวกค้ายาเสพติดที่หมายถึงรวมทั้งพวกที่เป็นคนต่างชาติ สหรัฐปราบปรามทำสงครามทั้งในและต่างประเทศ ไม่สนใจว่าละเมิดอธิปไตยต่างประเทศหรือไม่
ทรัมป์ชี้ว่าตนใช้อำนาจนี้ตามอำนาจพิเศษในยามสงคราม (Extraordinary Wartime Powers) ของประธานาธิบดี นักกฎหมายบางคนเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจนี้ไม่ถูกต้อง เพราะการค้ายาเสพติดต่างจากการถูกโจมตีด้วยกองกำลังติดอาวุธ
Jack Reed สว.เดโมแครตชี้ว่า ทรัมป์ “ทำสงครามลับกับทุกคนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู” โดยปราศจากหลักฐานที่เชื่อถือได้ กลายเป็นว่าเขาสามารถสั่งฆ่าใครก็ได้ด้วยกองทัพอเมริกัน
ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ทรัมป์เดินหน้าใช้กำลังทหารจัดการพ่อค้ายาเสพติดแล้วหลายครั้งและยังคงดำเนินต่อไป ขยายมาทางเอเชียด้วย
ทรัพยากรน้ำมันและปราบให้เป็นตัวอย่าง:
ในอีกมุมถูกตีความว่า รัฐบาลสหรัฐหวังครองน้ำมันของเวเนซุเอลาที่มีแหล่งน้ำมันสำรองมากที่สุดของโลก รัฐบาลสหรัฐทุกชุดพยายามเล่นงานเวเนซุเอลา การตีตราว่าประเทศนี้เป็นต้นเหตุภัยยาเสพติดช่วยเพิ่มข้อกล่าวหาอีกข้อ (ข่าวพ่อค้ายาเสพติดเวเนซุเอลาน่าจะจริง แต่โยงเข้ากับรัฐบาล เพิ่มความชอบธรรมที่สหรัฐจะล้มล้างรัฐบาลประเทศนี้) เป็นแนวทางเดิมๆ ที่สหรัฐใช้เสมอ
ความพยายามเข้าครอบงำกลายเป็นเหตุให้เวเนซุเอลาต้องหันเข้าหาประเทศที่ยินดียื่นมือเข้าช่วย หนีไม่พ้นปรปักษ์สหรัฐอย่างรัสเซีย จีน อิหร่าน เกาหลีเหนือ
ผลตามมาคือ รัฐบาลสหรัฐใช้โอกาสนี้จัดการเวเนซุเอลาให้เป็นตัวอย่างว่าใครที่หันเข้าหาปรปักษ์ของตนจะได้รับผลอย่างไร ใครที่ออกห่างตีจากสหรัฐจะต้องถูกลงโทษ
สรุป ทรัมป์ 2.0 มาพร้อมกับการข่มขู่นานาชาติสารพัดวิธี เช่น ตัดความช่วยเหลือ ขู่ขึ้นภาษี จนถึงใช้กำลังทหาร บางกรณีลงมือแล้ว เช่น โจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน กรณีที่น่าจับตามองมากคือเวเนซุเอลา ล่าสุดมีข่าวว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังตัดสินใจเล่นงานทางใดทางหนึ่งคือ 1.ไล่ล่าพ่อค้ายาเสพติด 2.ส่งกองกำลังยึดบ่อน้ำมัน 3.ล้มรัฐบาลเวเนซุเอลา
แนวทางทั้ง 3 สอดคล้องกับการวิเคราะห์ที่ว่า หลายปีแล้วที่รัฐบาลสหรัฐหวังฮุบบ่อน้ำมัน ทรัมป์ 2.0 ยกเรื่องปราบปรามยาเสพติด เพิ่มความชอบธรรมที่จะเล่นงานประเทศนี้ การล้มรัฐบาลเวเนซุเอลาเป็นนโยบายดั้งเดิมและเคยพยายามลงมือแล้ว
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ชัดว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First" นักวิเคราะห์บางคนตีความว่า สหรัฐมองโลกเป็นสมรภูมิแห่งผลประโยน์ ใครมีกำลังมากกว่าคนนั้นได้ ไม่สนใจว่าคนอื่นเสียอะไร แม้กระทั่งพันธมิตรใกล้ชิด บางคนจึงตีความว่าทรัมป์เปลี่ยนสหรัฐให้กลายเป็นรัฐมาเฟีย (mafia state).
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว
เมื่ออินเดียไม่ยอมรับเงื่อนไขการค้าทรัมป์
แค่สัมพันธ์กับจีนดีขึ้น ชายแดนลดความตึงเครียด รัฐบาลปูตินหวังร่วมมือมากขึ้น เพิ่มอำนาจต่อรองอียู แค่นี้น่าจะคุ้มค่าแล้ว เหนือกว่าภาษี 50% ของทรัมป์



