ว่าด้วย...'ความพลัดพราก'

ความแก่-ความชรา...อย่างน้อยก็น่าจะมีส่วนช่วยให้ความตาย หรือ ความกลัวตาย ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ ด้วยเหตุเพราะพอช่วยให้รับรู้ รับทราบ อย่างถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ว่าคงอีกไม่ใกล้-ไม่ไกลนับจากนี้ น่าจะได้ฤกษ์ ได้เวลา เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...

ยิ่งถ้าได้ประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำชี้แนะ ชี้นำ ของพระสังฆราชองค์ก่อน คือ สมเด็จฯ ญาณสังวร ที่มักทรงย้ำแล้ว ย้ำอีก ให้หันมาใคร่ครวญ ทบทวน เรื่อง มรณานุสติ ให้มากๆ เข้าไว้

ก็น่าจะลดอาการปริวิตก หงุดหงิด งุ่นง่าน เสียววูบ เสียวาบ ลงไปได้มั่ง จนเรื่องของ ความตาย อาจไม่ได้น่าเกลียด น่ากลัว เอาเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งถ้าหากได้ตายแบบท่านอดีตอธิบดีกรมสรรพากร เมื่อยุคหลายสิบปีที่แล้ว คือคุณ บัณฑิต บุณยะปานะ ที่จู่ๆ ก็ฟุบหลับขณะที่นั่งอยู่บนเครื่องบินโดยสารชั้น เฟิร์สต์คลาส และก็ไปแล้ว-ไปเลย อันนี้...ต้องเรียกว่า ถือเป็น การตายในเชิงอุดมคติ เอาเลยก็ว่าได้...

แต่ก็นั่นแหละ...นอกเหนือไปจากความตาย สิ่งที่ทำให้ใครต่อใครอาจยังไม่ถึงกับ ทำใจ ได้มากมายซักเท่าไหร่ ก็น่าจะเป็นเรื่องของ ความพลัดพราก นั่นแหละเป็นหลัก คือการที่ต้องพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ยังอดไม่ได้ที่จะต้องห่วง ต้องกังวล ต่อสายใย ความผูกพัน ต่างๆ นานา ว่าจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด เป็นตาย-ร้ายดี ต่อผู้ที่ยังไม่ได้ตายไปถึงขั้นไหน จะเอาตัวรอด-ไม่รอด จะสุข สงบ สันติ อยู่-เย็น-เป็นสุข หรือไม่? ประการใด? อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ผู้ที่ใกล้ตาย หรือใกล้ต้องเจอกับความตาย อดห่วงหน้า พะวงหลัง ขึ้นมาไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่าความตายจึงยังคงเป็นอะไรที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่น พรั่นสะพรึง อยู่พอสมควรทีเดียว...

ซึ่งอาจต่างไปจากผู้คนยุคก่อน ยุคโบร่ำโบราณ หรือยุคตั้งแต่พระเจ้าเหายังไม่ใส่กางเกงหูรูดเอาเลยก็ว่าได้ ที่โดยส่วนใหญ่ มักไม่ค่อยได้คิด หรือไม่ค่อยได้รู้สึก ว่าการตายนั้น จะนำมาซึ่ง ความพลัดพราก เพราะไม่ว่าใครจะตายด้วยสาเหตุอันใด แบบไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ก็ตามที แต่ก็มักเชื่อๆ กันว่า สิ่งที่หลงเหลือจากความตาย หรือสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ก็ยังดำรง คงอยู่ ยังไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้หนีไปไหน อาจแค่แวบไปเยี่ยม บ้านเก่า ไปอยู่กับบรรพบุรุษที่ได้ตายๆ ไปก่อนหน้านี้ หรือยังคงวนๆ-เวียนๆ คอยปกป้อง คุ้มครอง ลูกๆ-หลานๆ หรือผู้ที่รัก ผู้ที่ห่วงใยอยู่ใกล้ๆ ฯลฯ สิ่งที่เรียกว่าความตายมันจึงไม่ถึงกับก่อให้เกิด ความพลัดพราก ไม่ถึงกับสร้างความเจ็บปวด รวดร้าว มากมายซักเท่าไหร่ ไม่ว่าสำหรับผู้ที่ใกล้ตาย หรือผู้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปในภายภาคหน้า...

ส่วนจะจริง-ไม่จริง คงต้องไปนั่งนึก นั่งคิด เอาเองก็แล้วกัน...แต่ด้วยความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของ วิญญาณ ไม่ใช่การ ตายแล้วสูญ แบบผู้คนคนยุคใหม่ สมัยใหม่ โดยส่วนใหญ่ เลยทำให้ความเจ็บปวด รวดร้าว ความห่วงหน้า พะวงหลัง อันเนื่องมาจากความตายหรือการพลัดพราก ของผู้คนรุ่นเก่าๆ รุ่นโบร่ำโบราณนั้น จึงไม่ถึงกับน่ากลัว น่าประหวั่น พรั่นพรึง มากมายซักเท่าไหร่ เผลอๆ...ยังเพียรพยายามไปมา-หาสู่ แวะไปพูดคุย เยี่ยมเยียน แวะไปเช็งเม้ง กราบกราน ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ตักบาตร ใส่บาตร มอบของกิน-ของใช้ ของที่ชอบรับประทานทั้งหลาย ผ่านทางพระสงฆ์ องคเจ้า ทางหมอผี ทางคนเข้าทรง ฯลฯ หรือทาง ลัทธิพิธี ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่เชื่อๆ กันไปตามสภาพ...

ด้วย ความเชื่อ ในเรื่อง การมีอยู่จริงของวิญญาณ นี่เอง...ที่ทำให้ศาสนาขั้นพื้นฐาน หรือที่เรียกๆ กันว่า ศาสนาดั้งเดิม จึงอุบัติขึ้นในหมู่ผู้คนโบร่ำโบราณ ในแทบทุกๆ ชุมชน ทุกๆ ซีกโลกเอาเลยก็ว่าได้ ก่อนจะยกระดับและพัฒนาจนกลายมาเป็น ศาสนาสากล ในแต่ละศาสนา ไม่ว่าพุทธ-คริสต์-อิสลาม-ฮินดู-ยูดาห์ ฯลฯ ที่ล้วนแต่เติบโตมาจากรากฐานความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของ วิญญาณ หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Animism ไปด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ความเชื่อดังกล่าวมันดันถูกขจัดกวาดล้างไปในยุคหลังๆ แค่ไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความจริงทางวิทยาศาสตร์ โดยยัดเยียดเอาความเชื่อในเรื่อง ตายแล้วสูญ เข้ามาแทนที่ ความตายและการพลัดพรากสำหรับผู้คนยุคนี้สมัยนี้ เลยเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งเข้าไปทุกที จนต้องดิ้นรนทุรนทุรายหนีให้ไกลจนสุดขอบฟ้า หรือให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้...

ไม่เพียงความเชื่อเรื่อง ตายแล้วสูญ ตายแล้ว-ตายเลย จะทำให้ความตาย-การพลัดพรากเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังทำให้ คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ออกจะตกต่ำ เสื่อมโทรม แบบที่กษัตริย์ในจินตนิยาย ยูโทเปีย อย่างกษัตริย์ ยูโทปัส ถึงกับต้องใช้คำว่า ต่ำซะยิ่งกว่าเดียรัจฉาน ทำนองนั้น สำหรับผู้ “ไม่เชื่อ” ว่า วิญญาณ มีจริง ไม่เชื่อว่ามีการตอบแทน ความดีและความชั่ว หลังจากนั้น ด้วยเหตุนี้...ระหว่างที่ วิทยาศาสตร์ ยังไม่อาจหาหลักฐาน ข้อพิสูจน์ มายืนยันอย่างเป็นมั่น-เป็นเหมาะ ว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกเลยหลังจากความตาย แถมยังมี บรรดา นักวิทยาศาสตร์ จำนวนไม่น้อย ที่คิดจะขวนขวาย หาหลักฐาน ข้อพิสูจน์ มาสนับสนุนความเชื่อในเรื่อง ชีวิตหลังความตาย อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ ดังนั้น...สำหรับคนแก่-คนชรา ไม่ว่ายุคนี้-สมัยนี้ หรือสมัยไหนๆ ก็เถอะ...การหวนกลับไปหาความเชื่อของคนโบร่ำโบราณ หรือของ ศาสนา ใดๆ ก็ตาม จึงน่าจะ เข้าท่า กว่าเป็นไหนๆ...

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อยู่อย่างไรให้เป็นสุขทุกๆวัน

พวกเราเคยได้ยินว่า ชีวิตเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ คนเรา ถ้าหากใช้ชีวิตเป็นก็สามารถมีความสุขได้ ชีวิตเป็นของเรา

ด้วย'ศรัทธา'...ฉันจึงเป็นอยู่!!!

พล็อบๆ แพล็บๆ...นี่ก็ใกล้จะหมดปี สิ้นปี ใกล้จะถึงปีหน้า-ฟ้าใหม่กันอีกซะแร้นน์น์น์!!! แทบไม่น่าเชื่อว่าตัวเองยังคงสามารถเถลือกไถลอยู่ยาวว์ว์ว์มาจนถึงช่วงนี้ บัดนี้

'ทุนผูกขาด' ปิดท่อ 'ทุนเทา'

เสียงเซ็งแซ่การแต่งตั้ง "สีกากี" ระดับ "นายพัน" ตำแหน่ง รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ลงไปถึง สารวัตร (สว.) วาระประจำปี 2568 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ถึง 1 สัปดาห์

ลัคนามังกรกับลีลาสำคัญของชีวิตปี2569

ในบรรดาเรื่อง บวกและลบ ที่เกิดในชีวิตได้ตลอดเวลานั้น ปี 2569 นี้ ลางจากดาวขนาดใหญ่ ที่บ่งบอก เหตุการณ์สำคัญ (ยังมีเรื่องยิบย่อยอีกมาก) ที่มีแนวโน้มจะเกิดกับท่า

ความจริงเทียมทำร้ายสังคม

การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)

น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'

ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้