'อัจฉริยะ' หอบหลักฐานมอบอัยการ 'จนท.ดีเอสไอ' เอี่ยวคดีรีดเป้ 140 ล้าน

‘อัจฉริยะ’ หอบหลักฐานให้ ‘อัยการวัชรินทร์’ แฉเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเอี่ยวคดี ร่วมวางแผนรีดเงินเป้ 140 ล้าน

5 เม.ย. 2567 – ที่สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำเอกสารหลักฐาน เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกระบวนการอุ้มรีดเงินนายเป้ 140 ล้านบาท มามอบให้กับ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีรีดเงินเว็บพนัน 140 ล้านบาท

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เนื่องจากในคดีนายเป้ 140 ล้าน อัยการกับคณะทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่งสรุปสำนวนมีความเห็นส่งให้พนักงานอัยการในคดีนี้ จากการที่ได้ร่วมติดตามทำคดีและมีการตรวจสอบพยานหลักฐาน พบว่ามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอคนหนึ่งที่ ชื่อ “ศรีแพร” มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ให้กับกลุ่มของนายต้น เพื่อนำไปข่มขู่ นายกัน กับพวกให้มีการจ่ายเงิน หรือยอมให้ทรัพย์สินในคดีนี้

นายอัจฉริยะ เปิดเผยถึงขบวนการขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับศรีแพรและพวกว่า หลังจากที่มีการอุ้มลูกน้องนายเป้ไป มีข้อมูลว่านำไปให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอทำการรีดข้อมูล ซึ่งเอกสารที่นำมามอบให้กับอัยการวันนี้ เป็นเอกสารที่มีการลงตราประทับของกระทรวงยุติธรรม เป็นข้อมูลของนายเป้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอนำไปให้นายต้นข่มขู่นายกันกับพวก และได้เงินทรัพย์สินไปจำนวนหลายล้านบาท ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนว่า ศรีแพร เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ให้กับนายเจ ซึ่งเป็นกลุ่มของนายต้น และยังมีการเข้าถึงทะเบียนราษฎรต่างๆ ด้วย จึงมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนว่า ศรีแพรกับพวกร่วมกันทุจริต จึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีอาญากับ ศรีแพร กับพวกในข้อหาร่วมกัน เรียกรับเงินจากนายเป้กับพวก

ด้านนายวัชรินทร์ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า วันก่อนที่มีการประชุมร่วมกับตำรวจ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 โดยได้เรียกชุดของ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ กับพวก ซึ่งเป็นทีมงานของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ที่ทำคดีมาตั้งแต่แรก เพื่อมาให้การว่ามีพยานหลักฐานอะไร ในส่วนที่ยังไม่มอบให้กับพนักงานสอบสวนชุดใหม่ที่มี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. กับตนเองในการทำคดี ปรากฏว่ามีพยานที่เราสอบเพิ่มไปอีก 4 ปาก เป็นทีมของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา มีการสอบเพิ่มอีก 1 ปาก ซึ่งการพิจารณาสำนวนคดีใกล้จะจบแล้ว เพราะคาดว่าจะมีการประชุมกันหลังสงกรานต์ เพื่อจะสรุปว่าจะดำเนินคดีกับใครบ้าง โดยสรุปสำนวนไว้แล้ว

ส่วนวันนี้ที่นายอัจฉริยะ นำเอาพยานหลักฐานมายื่นในประเด็นของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ซึ่งเดิมไม่เคยได้รับเอกสารหลักฐานต่างๆ เหล่านี้หรือคลิปเสียงใดๆ ตอนนี้เราก็จะต้องนำมาพิจารณาร่วมกัน ว่ามีพยานหลักฐานใดที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่นายอัจฉริยะกล่าวหามาหรือไม่อย่างไร ก็จะต้องเป็นการพิจารณาต่อไป ถ้ามีพยานหลักฐานตามที่นายอัจฉริยะ มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เราก็จะต้องมีการพิจารณา และต้องทำให้ปรากฏว่ามีใครเกี่ยวข้องทางคดีบ้างแต่ถ้าดูแล้วว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ที่ถูกกล่าวหาถ้าไม่เกี่ยวข้องกับคดี 140 ล้านบาทแต่เกี่ยวข้องกับกรณีอื่น ก็จะดำเนินคดีด้วยซึ่งอาจจะมีการดำเนินคดีได้ในภายหลัง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอาแล้ว 'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้าน ระวังทำรัฐบาลพัง

'จตุพร' เตือน นายกฯหนู แบ่งแยกเยียวยาศพน้ำท่วม 2 ล้านระวังทำรัฐบาลพัง แนะน้ำท่วมใต้จากพายุชื่อเหมือนกันต้องเป็นธรรม ชดเชยเท่ากัน อย่าคิดแบบเขลาๆ แถเอาแต่สถานการณ์ฉุกเฉินมาอ้าง จะเกิดเหตุไม่พอใจ ลุกลามไปกันใหญ่

ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ

"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย

รมว.สธ. ตอก 'บิ๊กโจ๊ก' เปิดเว็บรับแจ้งศพน้ำท่วม ชี้วัดอะไรไม่ได้ หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร

"พัฒนา​" เมิน​ "บิ๊กโจ๊ก" ปูด​ตัวเลขผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้หลักพัน​ ชี้ตัวเลข​ 140 รายของสธ.​ ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง บอก​ หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร ตัวเลขในเว็บไซต์​ชี้ชัดอะไรไม่ได้

อีกแล้ว ‘โจ๊ก’ จะแฉข่าวใหญ่! หลังโผล่กองปราบ ยันไม่หนีคดีหมิ่น สตช.

อดีตรอง ผบ.ตร. เข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง ระบุคดีนี้เป็นการแจ้งความเพื่อปิดปาก ย้ำยังไม่มีหมายเรียก-ไม่มีข้อหาใด พร้อมตั้งคำถามกลับถึงเหตุฟ้องร้อง ชี้ตล

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก