
กองปราบนำสำนวน ‘ทนายตั้ม’ กับพวกรวม 7 คน ฉ้อโกง-ฟอกเงิน ส่งอัยการคดีพิเศษพิจารณาสั่งฟ้องศาล 2 คดี 4 กรรม ลั่นทันกรอบฝากขัง 30 ม.ค.นี้ ส่วนคดีนอกราชพิจารณาส่งอัยการสูงสุดฟัน
17 ม.ค. 2568 – ที่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ นามพุทธา ผกก. (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป. นำสำนวนการสอบสวนที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหายได้กล่าวหา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้มกับพวกรวม 7 คน คดีร่วมกันฉ้อโกง และฟอกเงิน
โดยนำเอกสารสำนวนรวม 9,317 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี , นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม , น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม , นายนุวัฒน์ ยงยุทธ หรือนุ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม , น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาวของนุ และพนักงานของโชว์รูมรถ 2 คน ที่ร่วมมือกับทนายตั้มในการปลอมแปลงเอกสาร รวมผู้ต้องหา 7 คน ในคดีฉ้อโกง , ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ไปมอบให้กับพนักงานอัยการคดีพิเศษโดยมีรายงานว่าพนักงานสอบสวนมีควาทดห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคนทุกข้อกล่าวหา
นายณัฐพงษ์ พุฒแก้ว รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ พร้อมด้วย นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับสำนวนการสอบสวนไว้พิจารณา
พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า สำนวนคดีทนายตั้มแบ่งเป็น 2 สำนวน คือ สำนวนที่กระทำความผิดในราชอาณาจักร และกระทำผิดนอกราชอาณาจักร โดยการกระทำผิดนอกราชอาณาจักรมี 3 เรื่อง คือ ฉ้อโกงเกี่ยวกับแพลตฟอร์มสลากออนไลน์ความเสียหาย 71 ล้านบาทเศษ, คดีกระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับความเสียหาย 39 ล้านบาทเศษ และสำนวนคดีซื้อรถเบนซ์ จี 400 เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง 1,530,000 บาท ส่วนการกระทำผิดในราชอาณาจักร คดีการออกแบบโรงแรม ได้ส่วนต่าง 5,500,000 บาท สำหรับการส่งสำนวน 4 เรื่อง มีผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คนที่ร่วมกับทนายตั้มทำการฉ้อโกง ฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
โดยวันนี้มีผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในการปลอมเอกสารที่จะต้องเข้ามาพบกับพนักงานอัยการโดยมีการแจ้งข้อหาเพิ่มมา 2 คนเป็นการปลอมเอกสารเกี่ยวกับการซื้อรถเบนซ์ โดยผู้ต้องหาทั้งสองกระทำผิดในส่วนของการปลอมใบเสร็จการซื้อรถเบนซ์ แต่รายละเอียดในสำนวนไม่ขอเปิดเผย ส่วนน.ส.ปิณฑิรา พี่สาวภรรยาของทนายตั้ม ที่ได้รับการประกันตัวอยู่ในอำนาจการควบคุมของศาล จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวมาในวันนี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนในประเด็นตามที่ทนายตั้มได้ร้องขอให้มีการสอบสวนในพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ด้านนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า หลังจากการรับมอบสำนวนแล้ว ทางสำนักงานอัยการคดีพิเศษได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการคดีพิเศษ1 รับผิดชอบพิจารณาสำนวนเเละจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จทันภายในระยะเวลากรอบฝากขังผัดสุดท้ายในวันที่ 30 ม.ค.นี้ ซึ่งตอนนี้เพิ่งได้รับมอบสำนวนมาจึงยังไม่ได้นัดวันฟังคำสั่ง ในส่วนคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรนั้น เมื่อผลการพิจารณาเสร็จสิ้นแล้วจะต้องส่งให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณามีคำสั่งอีกครั้งหนึ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความคืบหน้าคดีพินัยกรรมมาดามอ้อยกับทนายตั้ม พ.ต.อ.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า จากการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดตามที่แจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้อยู่ ส่วนจะต้องเรียกมาดามอ้อยมาสอบปากคำอีกหรือไม่นั้น ยังไม่พิจารณาในเรื่องนี้
สำหรับประเด็นเรื่องการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมนั้น ยังไม่มีหนังสือดังกล่าวจากผู้ต้องหา แต่จากการเข้าไปสอบปากคำทนายตั้มในเรือนจำ ทนายตั้มยังคงต้องการให้ทางพนักงานสอบสวนทำตามขั้นตอนตามกฎหมายปกติ โดยทนายตั้มยังให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีที่ที่มีการส่งสำนวนในวันนี้ มี 2 ส่วน ประกอบด้วยคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรที่ทางทนายตั้มได้หลอกลวงเจ๊อ้อยผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2 ล้านยูโรพร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 จำนวน 71,067,764.70 บาท
คดีต่อมา เจ๊อ้อยมอบหมายให้ทนายตั้มจัดหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์รุ่นจี 400 ทนายตั้มได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,93 ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
คดีที่นายษิทรา, นายนุวัฒน์ และน.ส.สารินีร่วมกันหลอกลวงเจ๊อ้อยด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชีเฉินคุน จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่านายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้วทำให้กระเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39 ล้านบาท พร้อมส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันแจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชั่นไลน์ด้วย ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินีถูกระงับจริง ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป๋าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เซ็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาขน) สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39 ล้านบาท ให้กับ น.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด 39 ล้านบาทดังกล่าว ออกจากบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี
เเละยังมีข้อหาที่คณะทำงานสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรที่มีนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานคดีนอกราชอาณาจักร ร่วมกันกับพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับนายนุวัฒน์และสารินี สองสามีภรรยาจากคดีเรื่องเงินหลอกจากศิลปินจีน 39 ล้านบาท ในข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงาน จากกรณีที่ไปแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ
และคดีสุดท้ายเป็นคดีในราชอาณาจักรทนายตั้มได้หลอกลวงเจ๊อ้อยว่า ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม the angel ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้างโดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรม 9 ล้านบาททั้งที่ความจริงแล้วทนายตั้มได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ทนายตั้ม ทำให้ทนายตั้มได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
ในส่วนผู้ต้องหาใหม่อีก 2 ราย ที่ถูกแจ้งข้อหาทำเอกสารปลอมในกรณีรถเบนซ์ 1.5 ล้านบาทนั้น มีรายงานว่า ทั้งสองคนเป็นพนักงานโชว์รูมรถเบนซ์.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ปูอัด' ระทึก! 'ปธ.วันนอร์' บรรจุวาระประชุมสภาแล้ว เปิดทางร้องฟันจริยธรรม
'วันนอร์' บรรจุแล้ว วาระ โหวต 'ปูอัด' ส่งตำรวจ 20 ก.พ. นี้ อนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ชงเข้า 'คกก.จริยธรรม' ต้องรอดูคนร้อง
จีนส่งข้อมูล 3.7 พันชื่อ 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' ในเมียวดีให้ไทย
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตร.
'บิ๊กเต่า' เผยขยายผลคดี 'สามารถ' กรรโชกทรัพย์ 2 บริษัท รวมกว่า 7 ล้าน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เปิดเผยถึงกรณีที่นายพัฒนพล กุญชร หรือ ดีเจแมน ออกมาเปิดเผยถูกนักแสดง (ฟ.) เรียกรับเงิน 14 ล้าน ช่วยเหลือ
ตำรวจเตือนระวังภัยช่วงวาเลนไทน์ แนะ 3 ข้อป้องกันตกเป็นเหยื่อ
พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า เทศกาล “วันวาเลนไทน์” หรือวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีประชาชนจำนวนมากถือเป็นโอกาสในการแสดงออกถึงความรัก ซึ่งมิจฉาชีพหรือผู้ไม่หวังดีมักจะใช้โอกาสพิเศษเหล่านี้ก่อเหตุร้าย ไม่
ยังไร้เงา 'ตู้ห่าว' ตำรวจนัดรายงานตัวอัยการ คดีเปิดบ่อนพนัน
ที่สำนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจเเละทรัพยากรณ 3 อาคารสำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวาได้นัดหมาย นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าวกับพวก ไปรายงานตัวกับพนักงาน
แต่งตั้งตำรวจ 20 นาย สอบ 'ผู้การต๊ะ' ปมเอี่ยวกาสิโนเมียวดี ให้เสร็จภายใน 30 วัน
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 61/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้วยปรากฏจากการรายงานการตรวจสอบข้อมูลประเด็นทางสื่อสังคมออนไลน์ ในประเด็นเกี่ยวกับนายตำรวจยศ