กวาดล้างแก๊งคอลฯชาวไทยตั้งฐานกัมพูชา เชื่อมโยง 1,154 คดี เสียหายกว่า 700 ล้าน

ตำรวจแถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างคนไทยขายชาติตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา รับตัวกลับมาดำเนินคดี 56 คน ตั้ง 3 ข้อหาหนัก พบเชื่อมโยง 1,154 คดี ตัวเลขเสียหาย 709 ล้านบาท 

1 เมษายน 2568 - พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) พร้อมด้วย นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต. ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 , พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 , พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3. และ พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว แถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รับตัวคนไทย 56 คน จากเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา มาดำเนินคดีในไทย พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1,154 คดี สร้างความเสียหายให้เพื่อนร่วมชาติแล้วกว่า 709 ล้านบาท ณ บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 เมืองทองธานี

จากการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของตำรวจกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จับกุมคนไทย 119 คน ส่งตัวกลับไทยมาดำเนินคดีข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ จากเมืองปอยเปต ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทางกัมพูชา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ได้สั่งการให้ตำรวจกัมพูชาจากส่วนกลางเข้ากวาดล้างตรวจค้นพื้นที่ 2 จุด ในเมืองปอยเปต ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่ทำหน้าที่ในการหาคนไทยมาเปิดบัญชีม้าและบัญชีคริปโต และการสแกนหน้าเพื่อหลอกลวงคนไทย รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนไทยขายชาติหลอกลวงคนไทยด้วยกัน การกวาดล้างดังกล่าวสามารถจับกุมคนไทยได้ทั้งหมด 63 คน แยกเป็นชาย 41 คน หญิง 22 คน โดยทางตำรวจกัมพูชาได้นำคนไทย 7 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 1 คน ซึ่งคาดว่าเป็นระดับสั่งการไปขยายผลดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้อง และส่งคนไทยจำนวน 56 คน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

จากการตรวจสอบของทางตำรวจไทย พบว่าคนไทยทั้งหมด 56 คน เป็นชาย 35 คน หญิง 21 คน เป็นเด็กอายุ 3 ปี จำนวน 1 คน , เด็กอายุ 8 ปี จำนวน 1 คน มีหมายจับจำนวน 5 คน เกี่ยวข้องกับ case ID 1,154 คดี มูลค่าความเสียหาย 709,495,881 บาท และในการเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ ไม่พบว่าบุคคลเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์แต่อย่างใด ผู้ที่ถูกส่งตัวกลับมาเดินทางข้ามช่องธรรมชาติโดยผิดกฎหมาย จำนวน 53 คน ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศผ่านช่องตรวจคนเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายแต่อย่างใด และทุกคนไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายตามร่างกาย

โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพฤติการณ์ในลักษณะคล้ายกันคือ เริ่มต้นจากการถูกชักชวนผ่านสื่อโซเชียลให้ไปทำงาน จากนั้นได้ถูกพาไปเปิดบัญชีธนาคารโดยรับค่าจ้างประมาณ 3-5 พันบาทต่อบัญชี และเดินทางข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติไปฝั่งปอยเปต พักคอยเพื่อรอสแกนหน้าในการโอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากการสอบถามหนึ่งในผู้ต้องหา ให้การว่า ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้มีการรวบรวมม้ารับจ้างเปิดบัญชี โดยจะมีรถมารับถึงที่บ้านไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แล้วนำพาข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ก่อนจะให้ไปอยู่รวมกันที่ตึกทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ที่เมืองปอยเปต สถานที่ดังกล่าวมีการจัดแบ่งพื้นที่พักอาศัย แยกตามเพศชายและหญิง ภายในบ้านมีการจัดเตรียมฟูกสำหรับการพักอาศัย รวมถึงมีการจัดหาอาหารให้ โดยผู้รับจ้างจะต้องเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์และบัญชีทรัพย์สินดิจิทัล เพื่อใช้ในการถ่ายเททรัพย์สินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 ศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับทั้งหมดจำนวน 54 คน ตามคำร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันเป็นอั้งยี่ , ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยขณะนี้ได้ถูกควบคุมตัวตามกระบวนการทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทย ไม่สามารถที่จะใช้ช่องกระบวนการคัดแยกเหยื่อเพื่อกล่าวอ้างว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีจากการที่ไปร่วมกันหลอกลวงคนไทยได้อีกต่อไป และต้องขอขอบคุณทางนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ที่ได้สั่งการให้กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่ไปลักลอบตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา และส่งคนไทยเหล่านี้มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีของไทยได้มีการหารือกันอย่างใกล้ชิดกับทางนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยลักลอบตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา มาหลอกลวงคนไทยในประเทศไทยให้หมดสิ้นไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักวิชาการ มธ. ฟันธง แม่ขายคลิปอนาจารลูกเข้าข่าย 'ค้ามนุษย์'

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เผย แม่อายุ 34 ทำคลิปอนาจารลูกเข้าข่ายความผิด “ค้ามนุษย์” ถึงแม้ลูกเต็มใจแต่ส่วนใหญ่อายุยังไม่ถึง 18 จึงมีความผิด ระบุพฤติกรรมเช่นนี้เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ หวั่นไทยจะเกิดเหตุซ้ำอีก จี้รัฐเร่งประสานเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย-ประเทศต้นทาง-ตำรวจสากล สกัดกั้นคลิป พร้อม

ไทย-เวียดนาม แลกเปลี่ยนความตกลง 8 ฉบับ ตอกย้ำมิตรภาพและความร่วมมือ

นายกฯ ไทย-เวียดนาม เป็นสักขีพยานแลกเปลี่ยนความตกลง 8 ฉบับ ครอบคลุมการค้า การลงทุน ป้องกันยาเสพติด พร้อมแถลงข่าวร่วมกันตอกย้ำมิตรภาพและความร่วมมือ

ชัดเจน 'ปราสาทตาเมือนธม' มิใช่ข้อพิพาท กรมศิลปากร ขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทย 90 ปีที่แล้ว

เฟซบุ๊กแฟนเพจ โบราณนานมา โพสต์เรื่อง ปราสาทตาเมือนธม มีเนื้อหาดังนี้ นักการเมืองมาแล้วก็จากไป ... แต่อธิปไตยของชาติไทยต้องอยู่แบบมั่นคงสืบไป

ตร.ภาค 8 ก้นร้อน สั่งสอบข้อเท็จจริง ผู้นำท้องถิ่นตั้งกองกำลังซ่องสุมค้ามนุษย์โรฮิงญา

ตำรวจภาค 8 ก้นร้อนสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังปรากฎข่าวทางสื่อ ขบวนการค้ามนุษย์ ทำผิดกฎหมาย มีผู้นำท้องถิ่น กองกำลังติดอาวุธ แคมป์โรฮิงญา แนวชายแดนไทย-เมียนมา พื้นที่ชุมพร-ระนอง

'ภูมิธรรม' ปัดไทยเสียเปรียบ ผลหารือ GBC ให้ถอยทั้งสองฝ่าย เลี่ยงปะทะปราสาทตาเมือนธม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชา(จีบีซี) เกี่ยวกับปัญหาบริเวณปราสาทตาเมือนธม

'แพทองธาร' หารือ 'ฮุน เซน' ร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน (Samdech Akka Moha Sena Padei Techo HUN SEN) ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา