
เหลืออีกแค่ 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ก็จะเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรกันแล้ว ตั้งแต่ 23 พ.ค.นี้เรื่อยไปร่วมสี่เดือน ซึ่งหลังสภาเปิดการเมืองก็จะกลับมาร้อนแรงมากขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน เพราะหลายเรื่องสำคัญรออยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 การพิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบ รธน. 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ต้องแก้ไขให้สอดคล้องกับกติกาเลือกตั้งบัตรสองใบ
แต่ที่เป็นไฮไลต์สำคัญของการเมืองในสภาที่หลายฝ่ายจับตามอง ก็คือ
"ศึกซักฟอก-อภิปรายไม่ไว้วางใจ"
ซึ่งปกติศึกซักฟอกทุกครั้ง ก็จะเป็นฉากการเมืองที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอยู่แล้ว ทั้งเรื่องข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้าน การเตรียมตัวรับมือของฝ่ายรัฐบาล การลงมติออกเสียงไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจของ ส.ส.ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงผลทางการเมืองที่จะตามมาหลังจบศึกซักฟอก เช่นการปรับ ครม. เป็นต้น
ทว่า ศึกซักฟอกรอบนี้หลายฝ่ายดูจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อช่วงกันยายนปีที่แล้ว ที่เกิดกรณีความพยายาม ล้มประยุทธ์ กลางสภา เพื่อเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี โดยมีแกนนำอดีตพลังประชารัฐอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และกลุ่ม ส.ส.พรรคเล็กจับมือกันเคลื่อนไหว แต่สุดท้ายทำไม่สำเร็จ งานไม่เข้าเป้า จน ร.อ.ธรรมนัสโดนปลดจากรัฐมนตรี และต่อมาก็ออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมี ส.ส.ในมือ16 คน อีกทั้ง ร.อ.ธรรมนัสช่วงที่ผ่านมาพยายามเล่นบทดีลเมกเกอร์ เป็นโต้โผจะเข้าไปคุมเสียงพรรคเล็ก เพื่อรวมเสียงสร้างเพาเวอร์ให้ตัวเองในศึกซักฟอกที่จะมีขึ้น ทำนองมี ส.ส.ในมือไม่ต่ำกว่า 30 เสียง ที่สั่งได้ว่าจะให้ลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกคนไหน โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่มีแค้นฝังลึกกันอยู่
มันก็เลยทำให้ศึกซักฟอกที่จะมีขึ้น ยิ่งถูกเพ่งเล็งให้ความสนใจเป็นพิเศษมากขึ้นอีกหลายเท่า ว่าหากมีการต่อรองทางการเมืองเกิดขึ้นในสภาหนักๆ จะทำให้พลเอกประยุทธ์ อาจไม่รอดในศึกซักฟอกหรือไม่ ถ้าพลเอกประยุทธ์ ไม่ยอมให้ ส.ส.มาต่อรองง่ายๆ ขณะที่คนในพลังประชารัฐ อย่างบิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พยายามยืนกรานว่าทุกอย่างคอนโทรลได้ เสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ไม่มีปัญหา อย่างไรเสียรัฐบาลฝ่าด่านศึกซักฟอกไปได้แน่นอน
ขณะที่เมื่อมองไปที่ฝ่ายค้านก็พบว่ากำลังคึก เพราะมั่นใจว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ทั้งผลจากศึกซักฟอกหรือไม่ก็คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีวาระการเป็นนายกฯ แปดปี แต่ระหว่างนี้ที่สภาฯ ใกล้เปิด ก็พบว่าฝ่ายค้านเริ่มอุ่นเครื่อง เตรียมเข้าสู่โหมดสภาเปิดเพื่อลุยกับรัฐบาลอย่างเต็มเหนี่ยว
อย่างเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านที่ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเพื่อชาติ, พรรคพลังปวงชนไทย ไปจัดงานกระชับความสัมพันธ์พรรคร่วมฝ่ายค้านกันที่นครราชสีมา และมีการออกแถลงการณ์เรื่องการทำหน้าที่ของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในสมัยประชุมที่จะเริ่มขึ้น โดยซัดรัฐบาลเต็มๆ
เช่น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย-ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุไว้ในเวทีดังกล่าวตอนหนึ่งว่า ...พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีมติร่วมกันขีดเส้นตายให้รัฐบาลที่หมดสิ้นสภาพนี้ นับตั้งแต่การเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ 22 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ในการดำเนินการของพรรคร่วมฝ่ายค้านใน 4 วาระสำคัญ ได้แก่ 1.การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 2.การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ในเดือนมิถุนายน 2565
3.การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151
4.การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเดือนสิงหาคม 2565
“พรรคร่วมฝ่ายค้านขอประกาศว่า วันนี้เรารวมพลังเพื่อยุติรัฐบาลที่สิ้นสภาพ โดยการขีดเส้นตายการทำงานของรัฐบาลนี้ ทำหน้าที่ได้ไม่เกินเดือนสิงหาคมที่จะถึง" หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุ
เช่นเดียวกับ ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกไว้ในงานดังกล่าวของฝ่ายค้านตอนหนึ่งเช่นกันว่า ...รัฐบาลจะเจอระเบิดเวลาสี่ลูก คือ 1.การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 หากงบไม่ผ่าน สภาต้องรับผิดชอบด้วยการยุบสภา 2.ร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับ คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เมื่อผ่านจะมีแรงกดดันให้ยุบสภาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ 3.ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ตามมาตรา 151 อภิปรายครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และ 4.รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกฯ อยู่เกิน 8 ปีไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบ 8 ปีในวันที่ 24 สิงหาคมนี้
"เป็นปมที่เรือแป๊ะจะไปยาก ตามระเบิดเวลา 4 ลูก แถมเรือแป๊ะยังมีรอยรั่ว 4 รู เพราะพรรคเศรษฐกิจไทยยังไม่รู้จะอยู่ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล แม้แต่พรรคเล็กพรรคน้อย พรรคเศรษฐกิจไทยมี 18 เสียง พรรคเล็ก 12 เสียงเป็นสวิงโหวต ถ้าไม่โหวตให้ เชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไปไม่รอด เสียงมันปริ่มน้ำ
ฝ่ายค้าน 208 เสียง ฝ่ายรัฐบาลไม่เกิน 240 เสียง สวิงโหวตตรงกลาง ที่ผมพูดคือมีพรรคเล็กและพรรคเศรษฐกิจไทย สองกลุ่มนี้รวมกัน 30 กว่าเสียงรวมฝ่ายไหนเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เรือแป๊ะไปไม่รอด” เลขาธิการพรรคเพื่อไทยวิเคราะห์ไว้ระหว่างงานพบปะพรรคฝ่ายค้านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นการเริ่มอุ่นเครื่องการเมืองของฝ่ายค้านก่อนสภาเปิด ซึ่งขนาดแค่อุ่นเครื่องยังร้อนขนาดนี้ แบบนี้ไม่ต้องสงสัยหากเปิดสภาเมื่อไหร่ ด้วยอุณหภูมิร้อนๆ ทางการเมือง ต่อให้แอร์ในห้องประชุมรัฐสภาก็ยังเอาไม่อยู่!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


