
ก่อนหน้านี้หลายคนจับจ้องไปที่การห้ำหั่นกันในพื้นที่ภาคอีสาน ระหว่าง 2 พรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ซึ่งมีฐานมวลชนเกือบจะกลุ่มเดียวกัน
แต่อีกภาคที่น่าจะเข้มข้นไม่แพ้กันคือ พื้นที่ภาคใต้ ที่คู่แข่งคนสำคัญล้วนแต่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันทั้งสิ้น ที่สำคัญมีมากกว่า 2 พรรค
โดยการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองจำนวน 5 พรรค ที่สามารถพาผู้แทนเข้าสภาได้ ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชาติ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย
พรรคประชาธิปัตย์กวาด ส.ส.ได้มากที่สุด 22 ที่นั่ง รองลงมาคือ พรรคพลังประชารัฐได้ 13 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 8 ที่นั่ง พรรคประชาชาติ 6 ที่นั่ง และพรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 ที่นั่ง
กรณีดังกล่าวไม่นับรวมการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.นครศรีธรรมราช ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐสามารถเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ได้
อย่างไรก็ดี แม้ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์จะคว้า ส.ส.เป็นอันดับที่ 1 ของภาค แต่การเหลือเพียง 22 ที่นั่ง ถือว่าสร้างความเสียหายอย่างมาก ถูกพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย แบ่ง ส.ส.ไปเกือบ 20 ที่นั่ง
ขณะที่การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาธิปัตย์ ในเงื้อมมือของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค หมายมั่นปั้นมือจะทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมายืนหนึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานพื้นที่ภาคใต้แบบวันวาน
พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มทุกสรรพกำลังในการดูแลเรื่องสินค้าทางการเกษตรของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นยางพารา น้ำมันปาล์มให้มีราคาสูง อาศัยความได้เปรียบในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ขณะที่ก่อนหน้านี้ เสี่ยต่อ-เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค เคยให้สัมภาษณ์ในลักษณะว่า ภาพรวมการเลือกตั้งครั้งหน้าตัวเองรับผิดชอบ แม้ไม่ได้บอกตรงๆ แต่เหมือนส่งซิกว่า จะไม่ล้มเหลวเละเทะแบบครั้งก่อนแน่
แต่ในขณะเดียวกัน พรรคพลังประชารัฐ อยู่ในอาการกำลังได้ใจ จากการคว้าเก้าอี้ ส.ส.กว่า 10 ที่นั่ง ทั้งที่ไม่ได้อัดกระสุนดินดำลงไปมากเมื่อปี 2562 ประกอบกับชัยชนะเลือกตั้งซ่อมที่เมืองคอน ก็วาดหวังจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของภาคใต้แบบเบ็ดเสร็จ
จะเห็นว่า บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค ต่างให้ความสำคัญกับภาคใต้อย่างมาก ด้วยการลงทำพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
เริ่มมีการวางยุทธศาสตร์ จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองตามพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บิ๊กป้อม พร้อมกับคณะ ส.ส.ต่างยกขบวนกันไปเปิดสาขาพรรคกันที่ จ.นราธิวาส
นอกจากนี้ยังมีแพลนที่จะเปิดสาขาพรรคการเมืองตามจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ภาคใต้อีกหลายแห่ง เพื่ออัปเกรดให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น
มีการเซตตัวบุคคลเอาไว้สำหรับการต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ คู่แข่งเบอร์ 1 ในดินแดนด้ามขวาน ดังจะเห็นการปรากฏตัวของ นายอนุมัติ อาหมัด ที่เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ไปขนาบข้าง บิ๊กป้อม ระหว่างลงพื้นที่ จ.นราธิวาส
สำหรับ อนุมัติ เป็นนักธุรกิจไทย มีเชื้อสายปากีสถาน เป็นที่รู้จักกันดีใน จ.สงขลา เคยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว.สงขลา เมื่อปี 2557 กระทั่งมีการรัฐประหาร จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนจะลาออกไปช่วยพรรคพลังประชารัฐทำศึกเลือกตั้งในภาคใต้ตอนล่าง เมื่อปี 2562
การกลับมาพรรคพลังประชารัฐ ของ อนุมัติ ถูกมองว่าต้องการเอามาต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพื้นที่ จ.สงขลา ที่มี นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เจ้าถิ่น ผู้สายป่านยาวเหยียดยืนจังก้าอยู่
แต่ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญของพรรคพลังประชารัฐอยู่ที่ว่าจะเอาใครนำ เพราะมีเสียงสะท้อนจากในพื้นที่ภาคใต้หลายแห่งเหมือนกันว่า หากไม่ใช่ บิ๊กตู่ ก็ไม่เอา ต่อให้เป็น บิ๊กป้อม หรือ ธรรมนัส ก็ตาม
ด้านฟากฝั่ง พรรคภูมิใจไทย ของ เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.
สาธารณสุข หัวหน้าพรรค คราวที่แล้วถือว่ากำไรมากกับการล้มเสาไฟฟ้าของพรรคประชาธิปัตย์ในหลายพื้นที่ได้หลายต้น ไม่ว่าจะเป็น พัทลุง ระนอง กระบี่ สตูล สงขลา ครั้งนี้ยังมีแม่ทัพคนเดิมผู้พาพรรคสีน้ำเงินชูธงในภาคใต้ได้อย่าง นาที รัชกิจประการ ภรรยาของ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
ครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทยหวังเซฟฐานที่มั่นเดิมที่ไปเจาะมาได้ กับการบวกเพิ่มอีกนิดหน่อย เพราะรู้ว่า การแข่งกับ 2 พรรคใหญ่ในภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์มันไม่ง่าย
อย่างไรก็ดี พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ตอนนี้อาจจะดูรักกัน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่จับตาดูให้ดี ทันทีที่ปี่กลองเลือกตั้งดัง มีสัญญาณชัดเจน เป็นอีกสนามที่เดือดไม่แพ้ภาคอื่น
ขนาดตอนนี้แค่ลือว่าจะยุบสภา ยังแทบไม่ให้อีกฝั่งตีกินทำคะแนนนำ แข่งกันลงพื้นที่ภาคใต้กันแทบจะทุกสัปดาห์อยู่แล้ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'กรณ์' แนะ ปปง. ยึดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่ ต้องสาวให้ถึงคนไทย แฉพยายามโยกย้ายทรัพย์สิน
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารหลักฐานชี้ให้เห็นถึงธุรกรรมที่ผิดปกติเกี่ยวโยงกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา โดยสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวโยงกับวงการสแกมเมอร์ และอาจจะเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความพยายามในการฟอกเงินที่ได้มาจากธุรกรรมเหล่านั้น
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
อยากได้ก็ตั้งให้! ‘นิพิฏฐ์’ แนะนำ ‘อนุทิน’ ใช้นามสกุล ‘โอษฐภัย’
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเรื่อง “โอษฐภัย” โดยมีรายละเอียดว่า ผมฟังท่านนายกรัฐมนตรี อ


