หายนะนโยบาย 'แจกเงิน' สอนคนไทยเป็น 'ขอทาน'

ปัจจัยให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง วันที่ 14 พ.ค. นอกจากกระแสพรรค ตัวบุคคล ทรัพยากรเลือกตั้ง อีกเงื่อนไขสำคัญคือ "นโยบายหาเสียง"

ในช่วงที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองต่างนำเสนอนโยบายมากมาย โดยส่วนมากออกไปในแนวทางประชานิยมสุดโต่ง ลดแลกแจกแถม หวังมัดใจคนไทยในทันที เพื่อออกไปเทคะแนนให้กับพรรคตัวเอง

ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มักจะไม่ได้ทันคำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในอนาคต สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤต เพราะเริ่มต้นก็สอนให้ประชาชนเคยชิน แบมือขอจากรัฐ เปรียบเป็นยาจกหรือขอทาน ก่อนที่ประเทศชาติจะก้าวไปสู่หายนะ ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกลุ่มลาตินอเมริกาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้รับแจ้งรายละเอียดนโยบายหาเสียงตามมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ครบทั้ง 70 พรรคการเมืองแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย เป็นต้น ที่ส่วนใหญ่ได้ใช้งบประมาณจำนวนมาก ทั้งที่เป็นงบประมาณแผ่นดินและนอกงบประมาณ  

แต่ที่สะดุดตา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากเป็นของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ได้นำเสนอ 70 นโยบาย โดยใช้งบประมาณมากที่สุดถึง 3 ล้านล้านบาท (สามล้านล้านบาท) 

โดยมีไฮไลต์คือ นโยบายประชานิยมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ให้กับผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประชาชนอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวกว่า 50 ล้านคน ระบุวงเงินที่จะใช้ครั้งนี้ 5.6 แสนล้านบาท   

ทั้งนี้ ทางพรรคเพื่อไทยได้ชี้แจงที่มาของเงินที่ใช้ดำเนินการแบบคร่าวๆ เท่านั้น ว่ามาจากการบริหารระบบงบประมาณและระบบภาษี 1.ประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 2.6 แสนล้านบาท 2.ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 1 แสนล้านบาท 3.การบริหารจัดการงบประมาณ 1.3 แสนล้านบาท 4.การบริหารงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 9 หมื่นล้านบาท

โดยไม่กล้าชี้แจงให้ กกต.สิ้นสงสัย เพราะเกรงจะกระทบความนิยมก่อนเลือกตั้งใช่หรือไม่ เนื่องจากอ่อนไหวต่อความรู้สึกและกระทบกับประชาชนโดยตรง

ดังเหตุผลดังนี้ ประการแรก ไม่มั่นใจว่าจะเก็บภาษีจากภาษีชนิดใดบ้าง อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากจะเก็บเพิ่มจากเดิมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7 เป็นร้อยละเท่าไหร่ หรือไม่

ประการสอง ต้องหั่นงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าจะรีดได้มากสุด 1 แสนล้านบาท ซึ่งไม่แน่ใจว่าข้าราชการจะยินยอมหรือไม่

ประการที่สาม หากเงินยังไม่พอ จะต้องกู้เงินมาใช้ในโครงการหรือไม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยโจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์มาตลอดว่ากู้มาแจก ที่สำคัญหากออกกฎหมายเงินกู้จะผ่านด่านสำคัญในชั้นวุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่

ประการที่สี่ หากดำเนินตามนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จะต้องยกเลิกโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคนหรือไม่ เพราะหากดำเนินการควบคู่กันจะเป็นภาระงบประมาณที่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งล่าสุดแกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่าจะไปยกบัตรคนจนแล้วก็ตาม ซึ่งถือเป็นภาระทางการคลังอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ กกต.จะต้องศึกษาข้อเท็จจริงของนโยบายดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งอยู่ใน 3 เงื่อนไข ได้แก่ 1.มีการระบุวงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ 2.ระบุความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และ 3.ระบุผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย

นอกจากประเด็นข้างต้น โครงการดังกล่าวยังสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายหรือไม่ โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ และอดีต รมว.คลัง ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็นการออกเงินตราอย่างหนึ่ง จะเข้าข้อบังคับของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 และ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย บัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นองค์เดียวที่มีอำนาจออกเงินตราได้เท่านั้น ซึ่งจะมอบให้เอกชนอื่นๆ ทำไม่ได้

"เหรียญดิจิทัลออกแบบให้เป็นบล็อกเชน โดยเก็บข้อมูลในการใช้จ่ายของผู้ใช้มากถึง 54 ล้านคน โดยที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าของข้อมูลก่อน ซึ่งถ้าเปิดให้เอกชนรายใดรายหนึ่งล้วงลึกเข้าไปในข้อมูลการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน 54 ล้านคนได้ จะเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าในการตลาด มีความเสี่ยงที่จะรั่วไหล และถ้าเกิดรั่วไหลขึ้นมาจะเป็นอันตรายต่อประชาชน"

นโยบายนี้ยังมีข้อสังเกตเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นแผลเก่าและจุดตายของระบอบทักษิณมาทุกยุค โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งคำถามว่า บริษัท แสนสิริฯ เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (XPG) เมื่อปี 2021 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับเงินดิจิทัล  

"ทำไมต้องบังคับให้คน 80% ของประชากรต้องใช้เงินดิจิทัล คนที่จะขายเงินสกุลดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือไม่ ผมก็ไม่ทราบ แต่วันที่ขายทรัพย์สินดิจิทัลเพื่อแจกประชาชน บริษัทนี้รวยทันที”  

ขณะที่ทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยออกมาโต้ประเด็นนี้ว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชน ไม่เกี่ยวกับการซื้อบริษัท ไม่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ไม่เกี่ยวกับการลงทุนแต่อย่างใด

ยังมีมุมที่มองว่าจะกระทบต่อวินัยการเงินการคลังและปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย โดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังให้ความเป็นห่วงว่าจะเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว

ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า “เห็นนโยบายไร้ความรับผิดชอบแบบนี้แล้วเศร้าใจค่ะ"

นอกจากการสร้างหนี้โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยให้ประชาชนขาดวินัยทางการเงิน คอยแต่จะแบมือรับ แทนที่จะติดอาวุธให้ประชาชนมีทักษะ มีความสามารถในการยกระดับความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน มากกว่าเงินช่วยเหลือจากนักการเมือง

สอดคล้องกับ "นวพร เรืองสกุล" อดีตนักบริหารระดับสูงทางด้านการเงิน บอกว่า เอาแต่เสกเงินออกมาโดยไม่พัฒนาฝีมือคนทำงาน ไม่ลงทุนในการเพิ่มผลผลิตและปัจจัยพื้นฐานให้เดินหน้าไปในทิศทางที่มุ่งหวัง พังไปแล้วหลายประเทศ เช่น เวเนซุเอลา กับอาร์เจนตินา”

ไม่เว้นแม้แต่ก่อนหน้านี้เจ้าของคอกเพื่อไทยอย่างนายทักษิณ ชินวัตร หรือ "โทนี่ วู้ดซัม" ยังเคยด้อยค่านโยบายแจกเงินรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาแล้วในรายการ CARE Talk เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565 ว่า เติมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ทำอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจ “เอาเงินไปแจก ผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก” เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจแข็งแรง หรือยังขายวัคซีนไม่จบ..."

ย้อนฟังคำพูดดังกล่าว แต่ไฉนบัดนี้ พรรคเพื่อไทยกำลังกลืนน้ำลายตัวเอง เดินหน้านโยบายที่นายใหญ่เคยระบุว่า การแจกเงินเป็นเรื่อง "ปัญญาอ่อน"

ดังนั้นจึงต้องจับตาว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนโยบายลดแลกแจกแถมอื่นๆ ของทุกพรรคการเมือง จะผ่านด่าน กกต.และผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) ฐานหลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม และกฎหมายอื่นๆ หรือไม่ เพราะหากทำไม่ได้จริงและปล่อยผ่านไป ก็จะนำมาสู่ความหายนะในไม่ช้า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 'เพื่อไทย' จับตาใช้สูตรปี66 จัดลำดับ

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์พท. แกนนำรุ่นใหญ่ ภูมิธรรม-สมศักดิ์-เสี่ยเพ้ง-สรวงศ์ ส่งลูก-หลังบ้าน-เครือญาติเข้าพรรค พวกย้ายพรรค-โยกสลับจากสอบตกเขตเพียบ จับตาอาจใช้สูตรเดิม เอาตัวเต็งรมต.ไว้ท้าย ลดแรงกระเพื่อม

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี