หลังโพลหลายสำนัก รวมถึงกระแสประชาชนในหลายพื้นที่สะท้อนออกมาว่า กระแส-คะแนนนิยมของ พรรคก้าวไกล มาแรงขึ้นเรื่อยๆ จนบางโพล คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลแซงหน้าเพื่อไทยไปแล้ว เช่นเดียวกับคะแนนนิยมในตัว พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ของโพลบางสำนักก็แซงหน้า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เช่นกัน
เรื่องดังกล่าวเห็นได้ชัดทำให้ฝ่ายเพื่อไทยออกอาการหวั่นไหวทางการเมืองพอสมควร เพราะหากกระแส พิธา-ก้าวไกล แรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 สัปดาห์เศษต่อจากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. จนทำให้โหวตเตอร์ฝ่ายที่จะเลือกพรรคการเมืองฝ่ายค้านชุดที่แล้วจำนวนไม่น้อย อาจจะเลือกก้าวไกลมากขึ้น ทั้ง ส.ส.เขตและบัตรบัญชีรายชื่อ มันจะมีผลทำให้เพื่อไทยจะได้ ส.ส.เขต และได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ลดน้อยลง จนทำให้เพื่อไทยจะได้ ส.ส.น้อยลงกว่าที่ตั้งเป้าไว้หลายสิบเก้าอี้ จนสุดท้ายที่พยายามโหมโรงสร้างกระแส เพื่อไทยแลนด์สไลด์ อาจวืด ชกลมก็ได้ และอาจมีผลทำให้ ความพยายามที่จะกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอาจสะดุดถึงขั้นฝันกลางวัน
อาการหวั่นไหวของเพื่อไทยดังกล่าว ดูได้จากล่าสุดที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ถึงกับระบุตอนหนึ่งเมื่อ 26 เม.ย. ระหว่างงานที่พรรคเพื่อไทยจัดอบรมผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การหาเสียง ซึ่ง “แพทองธาร” ได้ร่วมเวทีด้วยผ่านระบบออนไลน์ โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทยและผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยจำนวนมากร่วมอบรมสัมมนา ซึ่งแพทองธารกล่าวว่า ขณะนี้โพลของพรรคเพื่อไทยดีมาก ก็ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ แต่ก็ไม่อยากให้ประมาท เพราะอีกกว่า 20 วัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงขอให้ทุกคนเร่งลงพื้นที่นำเสนอนโยบายกับพี่น้องประชาชน
“ไม่ต้องกังวลพรรคคู่แข่ง เนื่องจากเขาไม่มีศักยภาพเหมือนเรา จึงเล่นแต่ในโซเชียลมีเดีย ทำให้โพลบางสำนักขยับขึ้น ดังนั้นในช่วงใกล้โค้งสุดท้าย ผู้สมัครทุกคนก็ต้องเน้นใช้โซเชียลสื่อสารกับพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า พรรคเพื่อไทยมีศักยภาพเปลี่ยนแปลงคนทั้งประเทศได้”
โดยแม้แพทองธารไม่ได้ระบุว่าพรรคคู่แข่งดังกล่าวที่มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นคือพรรคอะไร แต่ก็เป็นที่รู้กันทางการเมืองว่า พรรคดังกล่าวในความหมายของ อุ๊งอิ๊ง น่าจะตีความได้ไม่ผิดว่า น่าจะหมายถึง พรรคก้าวไกล นั่นเอง เพราะในทางการเมือง ยังไงพรรคปีกรัฐบาล ทั้งรวมไทยสร้างชาติ-พลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในบริบทการแข่งขันกับเพื่อไทยอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นพรรคคนละขั้วการเมืองกัน เพราะทุกวันนี้คู่แข่งสำคัญของเพื่อไทยคือพรรคก้าวไกล
ก็น่าติดตามว่า หลังแกนนำเพื่อไทย โดยเฉพาะการที่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ลงมาหวด-กำชับผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยให้เน้นการหาเสียงโซเชียลมีเดียมากขึ้น จะทำให้เรตติ้งคะแนนนิยมของเพื่อไทยกลับมาได้เหมือนเดิมหรือไม่ และระหว่างทางนับจากนี้ไปจนถึง 14 พ.ค.วันเลือกตั้ง เพื่อไทยกับก้าวไกลจะเกิดการกระทบกระทั่งกันทางการเมือง ในพื้นที่โซเชียลมีเดีย จนเลยออกมาพื้นที่จริงทางการเมือง จนมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 พรรคนี้หรือไม่ โดยเฉพาะหากก้าวไกลทำให้เป้าหมายแลนด์สไลด์ของทักษิณ-เพื่อไทยไปไม่ถึงฝั่งฝัน
“พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์-รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล”ให้ความเห็นถึงกระแสนิยมของพรรคก้าวไกลที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่การเลือกตั้งใกล้จะมาถึงว่า ความนิยมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวของพรรคก้าวไกลมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความชัดเจนและความตรงไปตรงมาทางการเมืองของพรรคก้าวไกล อย่างเช่นการที่หัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดชัดว่าจะไม่จับมือกับลุงตู่ ลุงป้อม มีลุงไม่มีเรา ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า ก้าวไกลชัดเจนตรงไปตรงมาในการที่บอกกับประชาชนก่อนเข้าคูหาเลือกตั้ง 2.นโยบายพรรค โดยประชาชนบอกว่านโยบายของก้าวไกลตอบโจทย์ และสามารถอธิบายเรื่องที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ได้อย่างชัดเจน ทำให้โหวตเตอร์ที่สนใจเรื่องนโยบาย ชื่นชอบนโยบายพรรคก้าวไกล 3.เพราะพรรคก้าวไกลยังไม่เคยเป็นรัฐบาล พรรคยังไม่เคยเข้าไปมีอำนาจในการบริหาร แต่ 4 ปีที่ผ่านมา พรรคพิสูจน์ผลงานให้เห็นแล้วในฐานะฝ่ายค้าน ทำให้ประชาชนเลยอยากลอง อยากเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ หลายคนบอกว่า เลือกแต่คนเดิมๆ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง ลองเลือกอะไรใหม่ๆ บ้าง
“ทั้งหมดคือ 3 เหตุผลที่มีฟีดแบ็กมาจากประชาชนถึงเหตุผลที่เขาจะเลือกพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนี้”
“พิจารณ์-รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล” ยังกล่าวถึงเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า พรรคก้าวไกลตั้งเป้าหมายว่า จะทำให้ได้ ส.ส.มากขึ้นกว่าตอนเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ตอนที่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งครั้งนั้นพรรคได้ ส.ส. 81 เสียง โดยความคาดหวังก็คือ เกิน 100 ที่นั่ง โดย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ถึงตอนนี้คิดว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสจะได้เกิน 30 ที่นั่ง
เมื่อถามถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ที่มีการมองกันว่าหลายพรรคการเมืองก็อยากดึงหรือมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่การที่ก้าวไกลมีนโยบายแก้มาตรา 112 ตรงนี้มันเป็นล็อกทางการเมืองสำหรับพรรคก้าวไกลหรือไม่ “พิจารณ์” ให้ความเห็นส่วนตัวว่า เรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ก็เป็นหนึ่งในหลายนโยบายของก้าวไกล ซึ่งคิดว่าก็ต้องพูดคุยกัน ว่าแต่ละพรรคการเมืองจะยอมรับอะไรกันได้มากน้อยแค่ไหน แต่หากดูการให้ความเห็นผ่านเวทีดีเบตอะไรต่างๆ คิดว่าก็ยังมีบางพรรคการเมืองที่ไม่ได้ปฏิเสธ ก็ยังพูดคุยกันได้ คือไม่ได้ถึงกับปฏิเสธนโยบายนี้เลย แต่แน่นอนว่าขั้วอนุรักษนิยมหรือขั้วพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลตอนนี้ เขาไม่เอาแน่ แต่ขั้วฝ่ายก้าวหน้าก็ดูจะพูดคุยกันได้ ซึ่งก็ต้องดูหลังเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันคงจะไม่ใช่เป็นเงื่อนไขหลักที่จะบอกว่า นโยบายนี้ถ้าไม่รับกัน แล้วพรรคก้าวไกลจะร่วมมือเป็นรัฐบาลร่วมกันไม่ได้ ก็คงไม่ใช่ คงต้องไปดูในภาพใหญ่ว่า จะมีนโยบายอะไรบ้างที่เป็นไปได้ แต่เชื่อว่าเพื่อนๆ ที่จะเข้าไปเป็น ส.ส.ของพรรคก้าวไกลหลังเลือกตั้ง ในฐานะอยู่ฝ่ายนิติบัญญัติ การแก้ไขกฎหมาย ก็คงเกิดขึ้นแน่นอน การพิจารณาแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ในฐานะการเป็น ส.ส.ก็คงเดินหน้าต่อไป แต่ในรูปแบบว่า จะร่วมรัฐบาล แล้วต้องเป็นนโยบายที่จะต้องนำขึ้นมาให้ยอมรับกันว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลหรือไม่ ผมคิดว่ามันคงไม่ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ต้องถึงขนาดนั้น อยู่ที่การพูดคุยกันมากกว่า
“อยากยืนยันว่า แม้เรื่องนี้จะไม่อยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่จะมีก้าวไกลเข้าไปร่วม แต่ว่า การผลักดันให้มีการแก้ไข 112 ตัวร่าง พ.ร.บ.และรวมถึงกฎหมายอื่นๆ อีก 5 ฉบับ ที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิในการแสดงออก พรรคก้าวไกลจะผลักดันอยู่แล้วผ่าน ส.ส.ก้าวไกลในสภาฯ ในการเสนอร่างกฎหมาย
น่าติดตามว่า เลือกตั้งรอบนี้พรรคก้าวไกลจะได้ ส.ส.เข้าสภาฯ มากน้อยแค่ไหน หลังมีการสร้างกระแส ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน ในโลกโซเชียลมีเดีย-ทวิตเตอร์ จนเป็นที่ฮือฮาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และหากก้าวไกลเข้าไปเป็นรัฐบาลจริง เรื่องแก้ 112 พรรคก้าวไกลจะจัดลำดับความสำคัญของนโยบายดังกล่าวไว้อย่างไร เพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล ขณะเดียวกันก็ไม่เสียคะแนนนิยมจากโหวตเตอร์ที่เลือกตั้งก้าวไกลในการเลือกตั้งรอบนี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ

