
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวปล่อยออกมาให้วุ่นวายช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4 ก.ค.
กรณีดีลระหว่าง 2 พรรคลงตัวแล้วว่าพรรคเพื่อไทยยอมยกตำแหน่งประธานฝ่ายนิติบัญญัติให้แก่พรรคก้าวไกล แต่มีเงื่อนไขว่าต้องสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หากพรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
ข่าวนี้ออกมาไม่ถึง 12 ชั่วโมงก็เริ่มเห็นบรรดาแกนนำสองพรรคออกมาปฏิเสธทันควัน นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าเป็นการปล่อยข่าว ระดับแกนนำเองก็ยังงงว่ามาอย่างไร
“ไม่ใช่ผลดีกับพรรคแน่นอน และคนที่ปล่อยข่าวมาอ้างตัวว่าเป็นแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เช่นนี้ยิ่งส่งผลไม่ดี ยิ่งทำให้เราตกเป็นจำเลยเข้าไปอีก”
สอดรับกับ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธข่าว โดยระบุว่าการเจรจาระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เรื่องประธานสภาฯ ยังไม่ลงตัว ไม่ควรมีข่าวปล่อย ข่าวเสี้ยม
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ออกมาแก้เกี้ยวทันทีว่าเรื่องประธานสภาฯ ยังไม่ได้ข้อยุติ และแสดงความมั่นใจว่าการนัดหารือในวันที่ 2 ก.ค.ของ 8 พรรคร่วมรัฐบาลจะได้ข้อยุติเรื่องนี้
ยังตีความดักคอว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่แทงข้างหลัง เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าการโหวตประธานสภาฯ พรรคเพื่อไทยอาจฟรีโหวต และตระเตรียมการผลักพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน หลังเกิดเค้าลางเกี่ยวกับดีลลับกลับมาจากอังกฤษ หรือสูตรต่างๆ ข้ามขั้วกับพรรคปีกรัฐบาลเดิม 188 เสียง
เบื้องต้นในชั้นนี้ พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยยังไม่มีข้อยุติเรื่องประธานสภาฯ แต่ล่าสุด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลากเกมเลือกประธานสภาฯ ไปวันที่ 3 ก.ค. ผ่านการประชุมภายในพรรคทั้งคณะกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. ที่คาดจะชัดเจนแล้วแถลงต่อสาธารณชนต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อสแกนเนื้อแท้ของสองพรรคนั้น ต้องการตำแหน่งดังกล่าวนี้เป็นอย่างยิ่ง เพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของตัวเอง
สิ่งที่เห็นวันนี้อาจไม่ใช่ของจริง กำลังรอสถานการณ์เพื่อรอเวลาแยกทาง ที่เปรียบสองพรรคนี้เป็น ปลาคนละน้ำ
ศัตรูและคู่แข่งวันนี้ของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ
แต่เป็นพรรคก้าวไกล ที่ชนะเลือกตั้งด้วยวาทกรรมทางการเมือง"มีลุงไม่มีเรา และมีเราไม่มีลุง" รวมทั้งความประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรงของคนพรรคเพื่อไทย ที่มั่นใจในกระแสของตัวเองและไม่เห็นหัวประชาชน นำมาซึ่งความสูญเสีย
ยกตัวอย่าง 70 ที่นั่ง จาก 6 จังหวัด ที่ต้องยกให้พรรคสีส้ม ได้แก่ กรุงเทพฯ 32 ที่นั่ง เชียงใหม่ 8 ที่นั่ง จังหวัดนนทุรี 8 ที่นั่ง จังหวัดชลบุรี 8 ที่นั่ง สมุทรปราการ 8 ที่นั่ง และปทุมธานี 6 ที่นั่ง ฯลฯ
ส่งผลให้พรรคก้าวไกลได้อันดับหนึ่ง จำนวน 151 เสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยพลาดเป้าหมายแลนด์สไลด์ไปอย่างย่อยยับทะลุซอย ได้อันดับสองด้วยคะแนนเสียง 141 เสียง
ความเจ็บปวดของเพื่อไทยก็คือบรรดาผู้สมัคร ส.ส.เขตต่างๆ ไม่เชื่อลองไปถามนายอดิศร เพียงเกษ หรือ ร.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บ้านใหญ่ และรุ่นเก๋าจากพรรคเพื่อไทยดูได้
ขณะที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำระดับยุทธศาสตร์ในห้องแอร์ อาจไม่รับรู้บรรยากาศตรงนี้ เพราะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย แถมยังเลื่อมใสในลัทธิและยอมตกไปอยู่ในเกมของพรรคก้าวไกล
ดังนั้นเมื่อผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรคเพื่อไทยตั้งสติได้ และหากต้องการเป็นรัฐบาล เป้าหมายสูงสุดคือ นายใหญ่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กลับบ้าน จะต้องกระทำการเพื่อให้ผู้มีอำนาจเปิดไฟเขียวด้วยความพอใจและเต็มใจ
จำเป็นต้องเขี่ยพรรคก้าวไกลมิให้มีอำนาจ และขจัด "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" พ้นจากเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 เนื่องจากมีวิธีคิดและนโยบายเย้ยฟ้าท้าดิน ในการหาเสียงเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
รวมถึงนโยบายหมิ่นเหม่ต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อาทิ การแบ่งแยกดินแดนรัฐปาตานี หรือการเลือกนายกฯ ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ลดขนาดกองทัพ ยังเห็นชอบให้ผู้มีคดีอาญาตามมาตรา 112 มาเข้ามาเป็น ส.ส. และให้ท้าย บ่มเพาะให้มวลชนกลุ่ม 3 นิ้ว เคลื่อนไหวทางการเมืองที่กระทบสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่
ด่านแรกที่พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ให้เห็นความจริงใจ คือไม่ยอมยกเก้าอี้ประธานสภาฯ ให้พรรคก้าวไกล เพื่อหวังผลคุมเกมการเลือกนายกฯ หรือเปลี่ยนเกมเสิร์ฟ
เสนอแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นมาแทนที่ คาดจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค.นี้ หากนายพิธาไม่ผ่านด่านวุฒิสภา
ในกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคดีในช่วงโหวตนายกฯ ประเด็นส่วนตัวเรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ที่กำลังจะถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือ ส.ส.และ ส.ว. ใช้เสียง 1 ใน 10 เตรียมยื่นเรื่องตามช่องทางรัฐธรรมนูญมาตรา 82 เตรียมเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ผูกโยงไปถึงคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกด้วย
รวมทั้งการหาเสียงของพรรคก้าวไกลในเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ ศาลรัฐธรรมนูญออกมาส่งสัญญาณ โดยสอบถามไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด จะรับหรือไม่รับเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ ตามช่องทางรัฐธรรมนูญมาตรา 49 เพื่อให้หยุดการกระทำ หลังมีผู้ร้องเรียนไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาล่วงเลยเวลามาแล้ว 15 วัน
ทั้งนี้หากคดีนี้ตัดสินออกมาผิดจริง ก็จะเป็นสารตั้งต้นให้ผู้ร้องยื่นเรื่องยุบพรรคก้าวไกล และฟ้องคดีอาญาผู้เกี่ยวข้องอีกด้วย
ไม่เพียงแต่ ส.ว.จะไม่โหวตให้แล้ว ถามต่อว่าจะมี ส.ส.ของพรรคก้าวไกลกล้าโหวตให้ด้วยหรือไม่ เพราะสุ่มเสี่ยงเป็นการกระทำที่จะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทใช่หรือไม่
นอกจากนี้ ตำแหน่งประธานสภาฯ ยังสามารถสกัดการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้บรรทัดฐานจากสภาชุดที่แล้ว ตามที่นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น ให้รับผิดชอบงานด้านพิจารณาบรรจุเรื่องเข้าระเบียบวาระการประชุม
อ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 และ 28-29/2555 ประกอบความเห็นของฝ่ายกฎหมายสภา วินิจฉัยว่าร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล ที่เคยยื่อร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 น่าจะขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 ที่บัญญัติไว้ว่า… “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
จึงไม่บรรจุเข้าระเบียบวาระ
กลับมาที่ปัจจุบัน เนื้อหาการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เคยถูกสภาชุดแล้วปัดตกตั้งแต่ก่อนการนำมาพิจารณาชั้นรับหลัการ ก็เป็นตัวอักษรและเจตนารมณ์เดียวกับที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียงในการเลือกตั้งก่อนและหลังวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ต้องการผลักดันพร้อมกฎหมาย 45 ฉบับ ภายใน 100 วัน หลังเปิดสภา
สุดท้ายในวันที่ 4 ก.ค. หากพรรคอันดับสองไม่ยึดตำแหน่งประธานสภาฯ และยอมปล่อยพรรคอันดับหนึ่ง เพราะหวังล่มหัวจมท้ายเป็นรัฐบาลด้วยกัน เพราะถูกคลุมถุงชน หรือรอรับส้มหล่นเป็นนายกฯ เองก็ตาม...
เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยยื่นกุญแจให้พรรคก้าวไกลเข้าไปเปิดประตูแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อลดการคุ้มครองของพระมหากษัตริย์ ให้เหลือแต่ความเป็นคนธรรมดาใช่หรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้
'อนุทิน' ลั่นพร้อมเป็นนายกฯ จะทำให้ดีและยิ่งใหญ่กว่า 3 เดือนที่ผ่านมา
'อนุทิน' ประกาศ 'ผมเป็นนายกฯ' พร้อมดัน 'เอกนิติ -ศุภจี-สีหศักดิ์' เป็นรองนายกฯ สู้ศึกเลือกตั้ง โวมีสส.เพิ่มทุกครั้ง พร้อมเปิดนโยบายทหารอาสา 1 แสนคนเงินเดือน 1.2 หมื่นเพิ่มความเข้มแข็งปกป้องอธิปไตย
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
นายกฯ เยี่ยมนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ฝาก 'นานาชาติ' อย่าเอาแต่บอกไทยหยุดยิง ให้ไปบอกเขมร
นายกฯเยี่ยมนาวิกโยธิน เหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บ ฝากถึงนานาชาติ อย่าเอาแต่บอกให้ไทยหยุดยิง ให้ไปบอกเขมร ลั่นเลิกเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม เดินหน้าสถาปนาอธิปไตยเหนือชายแดนโดยเร็วที่สุด

