ย่างเข้าสู่วันที่ 4 นับแต่กลุ่มติดอาวุธฮามาสโจมตีอิสราเอล และอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีโต้กลับ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือแรงงานไทยที่เข้าไปทำงานกระจายอยู่หลายพื้นที่ในอิสราเอล และตัวประกันที่ถูกจับไปพร้อมกับคนชาติอื่นซึ่งยังไม่รู้ชะตากรรมว่าเป็นอย่างไร
หลังเกิดเหตุการณ์ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ประชุม คณะทำงานศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน Rapid Response Center -RRC เพื่อจัดเตรียมแผนสนับสนุนการช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายคนไทยกลับประเทศ โดยมีกระทรวงการต่างประเทศ เป็นแกนหลัก ที่สำคัญคือการตั้งศูนย์แถลงข่าวความคืบหน้าของสถานการณ์ทุกด้านผ่านเฟสบุ้คของกระทรวงการต่างประเทศ 2 ช่วงเวลา คือ 10.00 น.และ 13.30 น. เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง และ รับทราบความคืบหน้าทุกเรื่อง
ข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กองทัพอิสราเอลได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อพยพพลเรือนและแรงงานไทยออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุดในรัศมี 4 กิโลเมตรรอบฉนวนกาซ่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมช่วงกลางวันได้รับรายงานว่าสามารถช่วยได้ 76 คนแต่ต่อเนื่องในช่วงกลางคืนถึงเมื่อเช้าตอนนี้สามารถช่วยเหลือได้หลายร้อยคนแล้วออกมายังพื้นที่ปลอดภัย โดยมีข้อมูลจากสถานทูตฝ่ายแรงงานที่กรุงเทอาวีฟ ได้แจ้งที่อยู่แจ้งที่อยู่ให้ทางการอิสราเอลทราบเป็นระยะ กำลังหลักในการปฏิบัติการคือทหารของกองทัพอิสราเอลที่เข้าไปช่วยเหลือ
จนกระทั่ง เย็นวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมาสถานทูตได้รับการติดต่อจากคนไทย และ แรงงานไทยได้มากกว่า 3 พันคน และแจ้งความประสงค์ในการเดินทางกลับประเทศจำนวน 3,862 คน โดยการช่วยเหลือของทางการอิสราเอลจะแบ่งเป็น -3 โซน คือ แดง ส้ม เหลือง โดยจะเริ่มจากการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่สีแดง หรือ เรดโซนซึ่งมีการสู้รบรุนแรงก่อน
ส่วนใหญ่คือแรงงานไทยที่ทำงานที่อยู่อาศัยบริเวณเมือง Netivot, Sderot, Ashkelo และพื้นที่ใกล้เคียง ติดๆ กับ “ฉนวนกาซา” ประมาณ 5,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่กระทรวงต่างประเทศจะส่งกลับประเทศไทย โดยออกค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ทั้งหมด เบื้องต้นมีผู้ลงทะเบียนแล้ว 3,862 คน และไม่กลับ 52 คน โดยสถานทูตไทยได้จัดเตรียมไว้ 3 เที่ยวบิน ได้แก่
- 1. เที่ยวบินจากสนามบินเทอาวีฟคืนวันที่ 11 ตุลาคม ถึงประเทศไทยเวลา 10.35 น. วันที่ 12 ตุลาคม ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 15 คน
2.วันที่ 15 ตุลาคม เครื่องบินแอร์บัส340 ของกองทัพอากาศ จำนวน 140 คน (กำลังประสานเรื่องการผ่านน่านฟ้าประเทศต่างๆ และ ไฟล์ทแพลน)
- 3. วันที่ 18 ตุลาคม ด้วยสายการบินพาณิชย์ จำนวน 80 คน
โดยไม่มีการตั้งเป็นจุดศูนย์รวมในการให้คนไทยมาพักคอยก่อน แต่จะเดินทางมาที่สนามบินก่อนเดินทางในวันนั้นๆ ซึ่งจะมีทางการอิสราเอล หรือ นายจ้างจัดรถในการขนส่งเข้ามา
นอกจากนี้ทาง RRC ได้หยิบยกแนวทางการอพยพทางเรือใช้เส้นทางทางทะเล โดยใช้ “โมเดลซูดาน”เป็นต้นแบบนั้น ทางสถานทูตฯ ได้ประเมินจากหน้างานแล้ว ไม่แนะนำ เพราะเส้นทางรถยนต์ที่จะเดินทางไปท่าเรือนั้นยังมีการสู้รบ จึงยังไม่ปลอดภัย เช่นเดียวกับการเดินทางไปประเทศที่ติดกันเพื่อไปขึ้นเครื่องบินนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยเช่นกัน
ขณะที่การอพยพของชาติอื่นพบว่าส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปยุโรป เช่น โปแลนด์ จะดำเนินการเสร็จสิ้นภายใน 15 ตุลาคม และที่ทยอยอพยพคือ กรีซ โรมาเนีย ฮังการี เซอร์เบียร์เบา บัลเกเรีย อัลบาดนีย มาซิโดเนีย โคโซโว นอกจากนั้นก็มี บราซิล ชิลี
ทางด้าน คนไทยที่สูญหายติดต่อไม่ได้นั้น มีความพยายามที่จะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในการตามหา โดยการร่วมมือระหว่างองค์กรเอกชน และตำรวจอิสราเอลไปสำรวจตรวจสอบ โดยเจ้าหน้าที่ทางสถานทูตได้ให้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่นำข้อมูลและใบหน้าของผู้ที่ญาติไม่สามารถติดต่อได้ส่งให้ทางอิสราเอลด้วย
ในส่วน การเคลื่อนย้ายศพผู้เสียชีวิต 18 คน จะต้องรอการยืนยันจากทางการอิสราเอลเป็นหลัก รวมถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์ เพื่อรับสิทธิ์ในการเยียวยาให้ครอบครัว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรก่อนที่จะลำเลียงศพกลับไทยได้ ระหว่างนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าศพอยู่ที่ใดบ้าง
ที่สำคัญคือตัวประกันทั้ง11คน ที่ถูกจับตัวไปร่วมกับตัวประกันชาติอีกอีก 100 กว่าคน ซึ่งทางการอิสราเอลยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอยู่จุดไหนบ้าง แต่กระทรวงการต่างประเทศได้ใช้ช่องทางการฑูตในการประสานความช่วย โดยเอกอัครราชฑูตไทยในตะวันออกกลางก็ไปคุยกับมิตรประเทศ โดยมีการประเมินว่าข่าวที่ออกมาเรื่องการสังหารตัวประกันหากมีการโจมตีฝ่ายฮามาสนั้น คงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเป้าหมายของกลุ่มดังกล่าวไม่ใช่ชาวต่างชาติ และคงไม่อยากขยายความขัดแย้งไปยังประเทศอื่น
แต่ที่สำคัญคือ “การข่าว”ที่อิสราเอลใช้วางแผน เพื่อจัดชุดเจ้าหน้าที่ในการติดตามช่วยเหลือตัวประกัน รวมถึงการประสานงานระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของหลายประเทศ
ขณะที่สถานการณ์ทั่วไป แม้กองทัพอิสราเอลประกาศว่าสามารถกระชับพื้นที่ในเมืองต่างๆได้สำเร็จสามารถอพยพคนออกจากเมืองรอบฉนวนกาซ่า 15 เมืองจากทั้งหมด 20 เมือง ซึ่งอาจจะมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในพื้นที่บ้าง แต่ก็ได้ระดมกองกำลังที่เป็นกองหนุนมากกว่า 300,000 นายซึ่งถือเป็นการระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ของอิสราเอลในการออกปฏิบัติการครั้งนี้
โดยจะต้องติดตามสถานการณ์เป็นระยะๆ ว่าการช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่สงครามของชาติอื่นให้กลับสู่มาตุภูมิโดยเร็วนั้นจะราบรื่น หรือเจอโจทย์ปัญหาอื่นเข้ามาแทรกอีกหรือไม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ทรัมป์เตือนอิสราเอล อย่าแทรกแซงซีเรีย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนอิสราเอลไม่ให้แทรกแซงซีเรีย “เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่อิสราเอลจะต้องรักษาการเจรจาที่มั่นคงและจริงใจกับซีเรีย และต้องไม่มีการกระทำใด ๆ ที่อาจขัดขวางการพัฒนาซีเรียให้กลายเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรือง” ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขาเมื่อวันจันทร์ เขายังเสริมด้วยว่า “ยังมีโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ”
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก


