ปัญหาเรื่อง การคุกคามทางเพศ กลายเป็นภาพด้านลบที่ติดตัว พรรคก้าวไกล ไปแล้ว หลังเกิดเหตุกับ สส.และผู้สมัคร สส.ของพรรคอย่างต่อเนื่อง
กรณีล่าสุดคือ กรณีของ แจ้-นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี พรรคก้าวไกล ที่โลกออนไลน์เปิดเผยเรื่อง แช้ตหื่น จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม
แม้จะมีการแอ็กชันออกมาว่าจะไม่ปล่อยผ่าน เหมือนที่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล หนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนวินัยพรรค ระบุในการแถลงความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ไม่สามารถยอมรับได้
“การคุกคามทางเพศไม่ว่าจะรูปแบบใด ถือเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรงและยอมรับไม่ได้ ขอยืนยันว่าพรรคก้าวไกลจะไม่หลบหนีปัญหา เพราะเราเชื่อว่าการปกปิดและการไม่มีมาตรการการรับผิด จะเป็นต้นเหตุสำคัญในการส่งเสริมการคุกคามทางเพศ และการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลในสังคม”
แต่มันกลับไม่ได้ช่วยแก้ไขภาพลักษณ์ดังกล่าวอะไรมาก เพราะหลายฝ่ายยังมองว่า พรรคไม่ได้จริงใจในการแก้ไขปัญหานี้
ขณะที่ตัว สส.ที่ถูกกล่าวหา พยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปว่า มีกลุ่มบุคคลพยายามขุดคุ้ยเรื่องราวนี้ โดยมีจุด ประสงค์ “ดิสเครดิตทางการเมือง” รวมถึงพยายามชี้ว่า ผู้ปล่อยแช้ตพยายามหาทางทำลายตัวเอง หลังเดินหน้าตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลในจังหวัด
อีกทั้งกรณีของ นายสิริน สงวนสิน สส.กทม. ที่ก่อนหน้านี้มีประเด็นทะเลาะวิวาทและกระทำการรุนแรงกับทีมงานสตรี ก็ดูจะไม่ได้ดำเนินการอะไรเด็ดขาดเท่าใดนัก เพียงแต่คาดโทษไว้ว่า หากกระทำผิดวินัยร้ายแรงซ้ำ จะยกระดับบทลงโทษ ขับให้พ้นสมาชิกพรรค ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการลงโทษเพื่อทำให้จบเรื่องเท่านั้น
ส่วนกรณี นายเกรียงไกร จันกกผึ้ง อดีตผู้สมัคร สส.ชัยภูมิ ที่ได้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งถูกลงโทษโดยการขับให้พ้นสมาชิกภาพทันที ประเด็นนี้ก็ถูกมองว่า เพราะนายเกรียงไกรเป็นเพียงผู้สมัคร สส. การขับออกไปไม่ได้มีผลใดๆ ต่อพรรค
และยังมีกรณีล่าสุดที่นายพริษฐ์เปิดเผยเองว่า มี สส.อาจเข้าข่ายกระทำความผิดในเรื่องเพศเช่นเดียวกัน อยู่ระหว่างตรวจสอบ ซึ่งหลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่มีการเปิดเผย ทั้งที่พฤติกรรมเข้าข่ายความผิดเดียวกัน
หากพรรคก้าวไกลตั้งใจแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ควรเปิดออกมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นอีกแล้ว หลังเกิดเหตุแบบนี้ซ้ำๆ กับคนในพรรค
อย่างที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ออกมาแนะนำแนวทางให้มีการกำหนดขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน สร้างระบบช่องทางร้องเรียนในเรื่องนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะ พร้อมเผยแพร่ช่องทางให้ทุกคนรับทราบได้ เพราะผู้เสียหายจะได้รู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร และต้องทำให้กระบวนการร้องเรียนเป็นความลับ เพื่อให้ผู้ที่ร้องเรียนไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลกระทบกับเรื่องอื่นๆ
ซึ่งหากตรวจสอบแล้วมีการกระทำความผิดจริง จะต้องดำเนินการลงโทษทางวินัยต่อผู้กระทำความผิดอย่างเท่าเทียมและมีมาตรฐาน
การเกิดเหตุบ่อยๆ ถือว่าร้ายแรงกับพรรคก้าวไกลที่ชูมาตรฐานที่สูง และปกป้องเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นลำดับต้นๆ มาตลอดแล้ว การแก้ไขปัญหาที่เหมือนไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่ เลยทำให้ดูเหมือนไม่ตั้งใจจะสางปัญหาภายในจริงๆ
การตั้งคณะกรรมการสอบสวน และการลงโทษที่ออกมาดูจะเป็นแนวทางเก่าที่พรรคการเมืองอื่นๆ ทำกันมา มันจึงดูสวนทางกับมาตรฐานของพรรคคนรุ่นใหม่อย่างพรรคก้าวไกล
แม้แต่เรื่องสัดส่วนในคณะกรรมการสอบเองก็ถูกตั้งข้อสังเกตจากคนในว่า สัดส่วนผู้หญิงน้อยเกินไปหรือไม่
โดย น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ทนายแจม สส.กทม.พรรคก้าวไกล หนึ่งในคณะกรรมการสอบวินัยของพรรค ยอมรับระหว่างการแถลงข่าวด้วยความกระอักกระอ่วนใจว่า ก่อนหน้านี้มีสัดส่วนของ “ผู้หญิง” อยู่คณะกรรมการสอบสวนน้อยมาก
ซึ่งการที่คณะกรรมการสอบสวนส่วนใหญ่ใช้เลนส์ของ “ผู้ชาย” ในการมอง อาจก่อให้เกิดการลดทอนคุณค่าของผู้ถูกกระทำหรือไม่
ขณะที่คนภายนอกก็มองว่า การแถลงครั้งนั้น น.ส.ศศินันท์ ถูกนำมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ในการแถลงเท่านั้น เป็นเพียงการนำผู้หญิงที่มีภาพลักษณ์ที่ดีมาเพื่อเป็นสิ่งประกอบให้ภาพรวมซอฟต์ลงหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ถูกกระทำล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ถึงแม้พรรคก้าวไกลพยายามย้ำซ้ำๆ ว่า จะให้ความเป็นธรรมทั้งฝ่ายผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำ และจะหาข้อสรุปให้ได้ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ อีกทั้งยังมีการยืนยันว่า จะไม่สร้างวัฒนธรรมการปกปิดการกระทำผิดของคนในองค์กร เพียงเพราะกลัวองค์กรเสียชื่อเสียงก็ตามที
แต่ตราบใดที่ยังไม่มีข้อยุติ การลงโทษที่เป็นธรรม คุมคนในองค์กรให้ทำตามมาตรฐานในอุดมคติอย่างที่พรรคก้าวไกลเคยประกาศไว้ได้ สังคมก็จะยังคงตั้งคำถามต่อไป
ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรใช้วิธีไปไล่ตามแขวะพรรคนั้นพรรคนี้ แต่พรรคตัวเองก็ไม่ต่างกัน การเรียกร้องสิทธิที่ชอบกล่าวอ้าง แต่ในบางสถานการณ์กลับกลายเป็นผู้ละเมิดสิทธิคนอื่นเสียเอง
ไม่รู้ว่าพรรคก้าวไกลจะต้องผ่านบทเรียนอีกกี่ครั้ง จะต้องล้มอีกกี่รอบ
ยิ่งหากหลังจากนี้เกิดเหตุกับคนในพรรคอีก มันจะถูกตั้งคำถามทันทีเลยว่า ตกลงที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขปัญหาจริงหรือไม่ และควรในพรรคเกรงกลัวจริงหรือไม่
หรือเป็นเพราะมาตรการที่ไม่เด็ดขาดทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ
เรื่องนี้หากไม่เด็ดขาด มันจะกลายเป็นภาพลักษณ์ของพรรคที่ฉุดให้ตกต่ำลง!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


