“แต่จะเป็นแนวทางใดระหว่างออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังศึกษากันอยู่ในสภา ว่าจะโยงคดีจำนำข้าวเป็นคดีที่มูลเหตุทางการเมืองหรือไม่ รวมถึงแนวทางบริหารโทษโดยใช้กลไกของรัฐบาลที่ถืออำนาจอยู่”
อีเวนต์ระดับชาติเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าทำให้พรรคเพื่อไทยเสียแต้มทางการเมือง และอาจทำให้นายใหญ่นายหญิงเจ๊งซ้ำ
หลัง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ แกนนำพรรคเพื่อไทย นำคณะสื่อมวลชนและผู้ส่งออกลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าว คลังสินค้ากิตติชัย หลัง 2 อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และคลัง บจก.พูนผลเทรดดิ้ง หลัง 4 ต.เฉลียง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ ที่มีข้าวอยู่ประมาณ 150,000 กระสอบ คิดเป็นปริมาณข้าวหอมมะลิ 1.5 หมื่นตัน โดยเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำปีการผลิต 2556/57 และถือเป็นข้าวล็อตสุดท้ายของโครงการที่ยังตกค้างอยู่
โดยข้าวค้างสต๊อก 10 ปีดังกล่าว “ภูมิธรรม” ได้หุงและกินโชว์ โดยเบื้องหลังพบว่า ก่อนหุงต้องผ่านการล้าง 15 ครั้ง แต่รองอ้วนบอกว่าเป็นข้าวดีและยังกินได้ ท้องไม่เสีย จากนั้นประกาศจะเดินหน้านำไปประมูลขายต่อไปในต่างประเทศเพื่อนำเงินกลับมา
แต่ถูกค้านจากทั่วสารทิศ เพราะยังสร้างความหายนะของข้าวไทยในสายตาต่างประเทศ และสุ่มเสี่ยงจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค
รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า จากกรณีที่เอาข้าวเก่าค้าง 10 ปี มาหุงรับประทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และเสี่ยงมะเร็ง แนะควรนำไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู
“การนำไปขายให้แอฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน”
นายธนัฐ จันทร์มาลา เลขาธิการสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีจะนำข้าวที่เก็บไว้ในสต๊อกนานถึง 10 ปีไปขายในทวีปแอฟริกาว่า เรื่องนี้เป็นการทำร้ายชาวนาและทำร้ายประเทศไทยซ้ำสอง เพราะที่ผ่านมาข้าวไทยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในฐานะข้าวที่อร่อยที่สุด แต่วันนี้กลับมีแนวคิดจะนำข้าว 10 ปีที่ชาวนาเขาเรียกกันว่าข้าวเน่าไปขาย
“วันนี้ท่านทำลายชื่อเสียงของประเทศ ทำลายชื่อเสียงของข้าวไทย แล้วถามว่าถ้าชาวนาเอาข้าวไปขายทั่วโลกจะเชื่อถือไหม? ในปีต่อๆ ไป หรือในอนาคตข้างหน้า ท่านเอาข้าวไปขาย ถามว่าจะได้ราคาเดิมไหม? เพราะเครดิตข้าวไทยมันถูกลดไปแล้ว”
ขณะที่ น.ส.มลฤดี โพธิ์อินทร์ รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค เรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งส่งตัวอย่างข้าวทุกกระสอบตรวจวิเคราะห์คุณภาพความปลอดภัยด้านอาหาร ทั้งทางเคมีและทางกายภาพ เพื่อหาการตกค้างของสารเคมีและเชื้อราต่างๆ อีกทั้งเมื่อตรวจยืนยันความปลอดภัยแล้ว ขอให้แถลงผลการทดสอบต่อสาธารณะให้ประชาชนรับรู้ก่อนการประมูลข้าว
หากข้าวดังกล่าวผ่านมาตรฐานและมีการประมูลขายข้าวให้ประชาชน รัฐบาลต้องเปิดเผยชื่อบริษัทที่ประมูลข้าวด้วยว่าคือบริษัทอะไร มีวัตถุประสงค์ประมูลข้าวไปเพื่ออะไร และใช้ชื่อการค้าว่าอย่างไร รวมถึงต้องแสดงในฉลากสินค้าว่า “ข้าวนี้มาจากการเก็บในโกดัง 10 ปี ถือเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อ”
นอกจากประเด็นความเสียหายของข้าวไทยต่อชาวโลกแล้ว ยังหลีกหนีไม่พ้นที่ขาประจำ และต่อต้านระบอบทักษิณ รู้ทันออกมาฟ้องสังคมว่า
นี่คือกระบวนการฟอกขาวข้าวเน่า 10 ปี ในคดีโครงการรับจำนำข้าวให้ดูเบาบางลง เพื่อหวังฟื้นคดีช่วยนายหญิง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ กลับประเทศโดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว
หลังโครงการนี้เคยสร้างความเสียหายมโหฬารเป็นประวัติศาสตร์กว่า 7 แสนล้านบาท เพราะจำนำข้าวทุกเมล็ด เป็นข้าวขาวตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท สูงกว่าราคาท้องตลาด
อีกทั้งยังพบว่ามีช่องโหว่จนเกิดการทุจริตแทบจะทุกขั้น แม้มีเสียงเตือนจากองค์กรอิสระทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่ฟัง
แต่ก็เลือกเดินหน้าใช้แนวทาง “จีทูจี” แต่เบื้องหลังเป็น “จีทูเจี๊ยะ” ส่งผลให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบอย่าง “บุญทรง เตริยาภิรมย์” “ภูมิ สาระผล” รวมทั้งพ่อค้าคนสนิทของตระกูลชินอย่าง “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร ต้องเข้าไปอยู่ในคุก
ส่วนตัวอดีตนายกฯ อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ทิ้งลูกน้อง และลอดช่องทางธรรมชาติ หนีคำพิพากษาจำคุก 5 ปี ออกไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
กลับมาปัจจุบันเมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยน โดย “ทักษิณ” ได้กลับบ้านโดยไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว แถมพี่ชายยังได้คืบจะเอาศอก ประกาศว่า “สงกรานต์ปีหน้า ยิ่งลักษณ์คงได้มีโอกาสกลับมาทำบุญและเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ และไม่แน่อาจกลับมาในปีนี้”
สอดรับกับคดีความอื่นๆ ที่มีผลสอดรับกับสมมุติฐานของฝ่ายต้านทักษิณ โดยก่อนหน้า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้องยิ่งลักษณ์ติดๆ กันสองคดี
คือคดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากเก้าอี้เลขาธิการ สมช. ซึ่งเป็นคดีที่อัยการยื่นฟ้อง และคดีจัดอีเวนต์โรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย งบ 240 ล้านบาท ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องเองหลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง และต่อมา อัยการสูงสุดก็ประกาศไม่ยื่นอุทธรณ์คดีย้ายถวิล เปลี่ยนศรี ตามด้วยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็มีมติไม่อุทธรณ์คดีงบโรดโชว์
คนการเมืองจึงประเมินว่า นายกฯ หญิงซึ่งมีสถานะเป็นนักโทษ ก็จะเดินทางกลับตามหลังพี่ชายโดยไม่ต้องติดคุก ใช่หรือไม่
แต่จะเป็นแนวทางใดระหว่างออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่กำลังศึกษากันอยู่ในสภา ว่าจะโยงคดีจำนำข้าวเป็นคดีที่มูลเหตุทางการเมืองหรือไม่ รวมถึงแนวทางบริหารโทษโดยใช้กลไกของรัฐบาลที่ถืออำนาจอยู่ โดยมีผู้ให้ความเห็นว่าเป็นไปได้สองแนวทางนี้
“ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เคยให้ความเห็นว่า หากให้ง่ายที่สุดในการพา “ยิ่งลักษณ์” กลับบ้าน ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของทักษิณ ที่พูดเหมือนกับสไตล์ก่อนได้กลับ เป็นการส่งสัญญาณและแรงกดดันกลายๆ ว่า การกลับนั้นอยู่ในดีล อย่าลืม จากนั้นค่อยขยับหาวิธีทำกันไป แต่ไม่ได้ง่ายเหมือนทักษิณที่อายุเยอะ ดังนั้นยิ่งลักษณ์จึงมีปัญหาการใช้โมเดลพี่ชาย
ด้าน “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” นักการเมืองอาวุโสของเมืองไทยทางด้านกฎหมาย และอดีต สส.พัทลุง มองอีกแบบว่า กรณียิ่งลักษณ์จะไม่สามารถใช้วิธีการแบบเดียวกับทักษิณได้ เพราะกรณีของทักษิณอาศัยช่องทางที่กฎหมายเปิดไว้ เช่น เกณฑ์อายุ 70 ปี และมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นกรณีของยิ่งลักษณ์ก็ต้องไปใช้แนวทางอื่น เช่น ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ออกระเบียบดังกล่าว
"นิพิฏฐ์" มองว่า ระเบียบที่จะเอื้อต่อยิ่งลักษณ์คือว่าด้วยเรื่องการควบคุมตัวนอกเรือนจำ โดยหากไปดูกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะพบว่ามีกลไกคณะกรรมการประมาณ 4-5 คน ภายใต้หลักการพิจารณาความเสี่ยงเป็นข้อๆ เช่น ออกไปอยู่นอกเรือนจำแล้วจะหลบหนีหรือไม่, ออกไปอยู่นอกเรือนจำแล้วจะก่อความเดือดร้อนวุ่นวายหรือไม่, ระหว่างการให้อยู่ในเรือนจำกับนอกเรือนจำอย่างใดจะเป็นประโยชน์มากกว่ากัน ดังนั้นก็ค่อนข้างแน่ใจว่ายิ่งลักษณ์จะได้อยู่นอกเรือนจำด้วยช่องทางนี้ เพราะเป็นกลไกบริหารโทษของฝ่ายบริหาร
นี่คือแนวทางพานายหญิงกลับบ้าน แต่เมื่อเกิดอีเวนต์กินข้าวเน่าขึ้นมา แถมผิดเหลี่ยม ปลุกผีโครงการทุจริตจำนำข้าวคืนชีพ เตือนสติคนไทยให้เห็นถึงความน่ากลัวของระบอบทักษิณ ภายใต้บริหารของพรรคเพื่อไทย ที่อาจส่งผลให้ "ยิ่งลักษณ์" เจ๊ง ถูกกระแสต้าน ไม่ได้มาตามแผน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อิ๊งค์’สะกดอารมณ์ฝ่าซักฟอก2วัน รอลุ้นคะแนนโหวต-งูเห่าสมทบ!
ผ่านศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ใช้เวลา 2 วัน 24-25 มีนาคม ก่อนลงมติวันนี้ 26 มีนาคม 2568 ซึ่งลีลาของ “นายกฯ อิ๊งค์” ในการแจงข้อซักฟอกถือว่าสามารถสะกดอารมณ์ได้ดี ไม่ปล่อยหมัดเด็ดตรงๆ ใส่ฝ่ายค้าน แต่ใช้ความนิ่งตอบเจ็บๆ ในบางช่วงเช่นกัน
'กาโม่' ยืนยัน 'ปู่เฉลิม' ไม่ได้คุยฝ่ายค้าน ขอซักฟอกนายกฯอิ๊งค์
นายอาชวิน อยู่บำรุง ที่ปรึกษา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรฐกิจและสังคม ฐานะหลานชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิมไปขอเวลาฝ่ายค้าน เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ
เกลือไม่พอ! เพื่อไทยหยามฝ่ายค้านซักฟอกจืด วอนสื่อช่วยพาดหัวหน่อย 'อนุสรณ์ร้องสภา ขอน้ำปลาให้ฝ่ายค้านด่วน'
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ขอฝากไปยังสื่อทุกสำนักว่าหากจะโปรยข่าววันนี้ต้องบอกว่า "อนุสรณ์ร้
'พริษฐ์' ชำแหละละคร 5 ตอนรัฐบาลเพื่อไทย ดีลอำมหิต-ไร้ประชาชนในสมการ
'พริษฐ์' ฉายภาพละคร ‘รัฐบาลเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน’ 5 ตอน ซัดดีลกันแบบนี้ ไม่เคยมี ปชช.อยู่ในสมการ เหตุอะไรที่ไม่อยากทำแล้วอ้างติดที่พรรคร่วมฯ เปรียบ 'แพทองธาร' เหมือนเป็ดง่อย ตัดสินใจอะไรไม่ได้ด้วยตนเองได้ คอยรอคำตอบจาก ‘นายกฯ คนพ่อตัวจริง’
‘ฝ่ายค้าน’ซักฟอก‘นายกฯอิ๊งค์’ ขยายแผล ปูทาง ยื่น 'ป.ป.ช.'
เปิดฉากกันไปแล้ว ศึกซักฟอก อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้คอนเซปต์ ‘ดีลแลกประเทศ’ วันแรก ไฮไลต์สำคัญ ช่วงเช้าหนีไม่พ้นการเปิดหัวของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และการลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ