คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นคดีพิเศษแล้ว ท่ามกลางกระแสความกดดันระหว่าง สว.สายสีน้ำเงิน ที่มีการเปิดศึกถล่มกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถึงความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเล่นงานฝั่งตรงข้ามรัฐบาลเสมอ
โดยเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนการประชุม กคพ. ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานบอร์ดการประชุม กลุ่ม สว.เพื่อประชาชน (สว.ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก) ผู้ที่ยื่นคำร้องต่อดีเอสไอในคดีดังกล่าวได้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์อยู่ที่บริเวณชั้น 1 ตึกกระทรวงยุติธรรมกันอย่างพร้อมเพรียงเป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง แต่คดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในที่ประชุม กคพ.ได้มีการถกเถียงโดยมีความเห็นหลากหลายว่าจะรับคดีนี้ในความผิดใดบ้าง โดยมีข้อสรุป รับ คดีฮั้ว สว. ในฐานความผิดอาญาเกี่ยวกับฟอกเงินเพียงความผิดเดียว มีเสียงชี้ขาดเพียง 11 เสียง จากทั้งหมด 18 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง
ส่วนเหตุผลที่รับเพียงแค่ความผิดเดียว เนื่องด้วยกรรมการได้มีการยกข้อหารือเมื่อการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ในลักษณะของคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ถือเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ให้เป็นคดีพิเศษได้ด้วยอำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือเสียงเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่มี โดยเฉพาะถ้าเป็นการชี้ขาดว่าให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินทางอาญา แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เพราะเข้าเงื่อนไขกรณีที่มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 อยู่แล้วนั้น จะเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องอาศัยมติบอร์ด
ซึ่งจากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอ และการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.67 มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว. ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วย จึงได้มีการวินิจฉัยของ กคพ.ให้รับคดีฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ
หลังจากนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการทำสำนวนคดี
ส่วนหลังจากนี้หากมีการสอบสวนขยายผล แล้วพบฐานอาญาความผิดอื่น อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) นั้น ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถรับเพิ่มไว้ดำเนินการได้
อย่างไรก็ตามในที่ประชุมได้มีการพูดถึงฐานความผิดเกี่ยวกับ อั้งยี่ ซึ่งจะได้มีการถกเถียงกันอย่างหนักเนื่องจากการสอบสวนเบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ จึงดำเนินการความผิดเกี่ยวกับคดีฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ดีเอสไอจะทำคดีอั้งยี่ ถ้าสอบสวนแล้วพบข้อมูลความเชื่อมโยงในเส้นทางการเงินกับบุคคลอื่นหลายๆ คนมากขึ้น ซึ่งจะคล้ายกับคดี ดิไอคอนกรุ๊ป ที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน แล้วต้องส่งสำนวนเพิ่มความผิดอั้งยี่
จากปมทางกฎหมายเชื่อมโยงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ภายหลังการหารือกันระหว่าง บ้านจันทร์ส่องหล้า กับ บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เข้าไปพูดคุยหารือกับ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยมีการจับตามองกันว่า เป็นการดีลเจรจาในคดีฮั้ว สว.หรือไม่ เพราะ สว.ที่ถูกร้องส่วนใหญ่ล้วนมาจากสายสีน้ำเงิน ทั้งนั้น
ซึ่งเป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยพยายามจัดการกับ สว.สีน้ำเงิน และพรรคภูมิใจไทย มาโดยตลอด เพราะมองว่าเป็นก้างขวางคอ ทำให้ออกกฎหมายหลายๆ อย่างที่พรรคเพื่อไทยต้องการลำบากขึ้น ที่สำคัญ สว.สีน้ำเงินสามารถกำหนดบุคคลไปนั่งในองค์กรอิสระได้แทบทั้งหมด โดยเมื่อรัฐบาลเพื่อไทยจ้องจัดการ สว.ผ่านหน่วยงานดีเอสไอ โดยเงื่อนไขต่อรองต่อไปก็คงหนีไม่พ้นคดี อั้งยี่ ที่มีความผิดรุนแรงกว่าคดีฟอกเงิน หากฝั่งสีน้ำเงินยังแข็งข้ออยู่ ก็งัดออกมาเล่นงานได้
ด้าน สว.สีน้ำเงิน ก็ใช่ว่าจะรอให้โดนขยี้อยู่ฝ่ายเดียว โดยได้เสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย ถล่มกระทรวงยุติธรรมกับดีเอสไอ ยับเยิน โดย สว.บางรายได้เสนอว่า อยากยุบดีเอสไอทิ้ง และเตรียมซักฟอกเรื่องป่วยทิพย์ชั้น 14 ที่กรมราชทัณฑ์พานายทักษิณไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
โดยเกมการเมืองนี้ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายกัญชาเสรี, ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีบ่อนกาสิโน, การตรวจสอบเลือก สว. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่ง สว.สายสีน้ำเงิน ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย
ต่างฝ่ายต่างมีไม้เด็ดมากมาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็มีชนักปักหลัง ไม่มีใครขาวสะอาด เพียงแต่ว่าเกมนี้ใครได้เปรียบ ใครขัดผลประโยชน์เมื่อไหร่ ก็จะมีฝ่ายโต้กลับจนนำไปสู่การเจรจาเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน
เกมการเมืองหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอด ถ้าข้อตกลงไม่ตรงกัน ผลประโยชน์ไม่ลงตัว ก็จะเห็นเกมระยะยาวแบบนี้ไปเรื่อยๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม
"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

