รัฐบาล‘พ่อ’กอดคอกันต่อ ขึง‘อิ๊งค์’รับหน้าเสื่อวิกฤต

“แม้จะไม่ทำให้รัฐบาลล่มเหมือนตึก สตง.  แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยที่กอดคอกันจัดตั้งรัฐบาลกันมาเกือบ 2 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของลูกพ่อเนวิน และแม่กรุณา ชิดชอบ อย่าง “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ที่ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านกาสิโนอย่างถึงลูกถึงคน สร้างความฮือฮาทางการเมืองในระดับ 7 ริกเตอร์

แม้จะไม่ทำให้รัฐบาลล่มเหมือนตึก สตง. แต่ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยที่กอดคอกันจัดตั้งรัฐบาลกันมาเกือบ 2 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คาดการณ์กันว่า เรื่องดังกล่าวต้องถึงมือผู้อำนาจตัวจริงคุยกัน โดยเป็นการเคลียร์ใจระหว่าง “พ่อ” กับ “พ่อ” ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการ ผิดคิว อย่างแท้จริง ไม่ใช่การขยิบตาของคนในครอบครัว

กระนั้น “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ ปีกขวาของนายกฯ แพทองธาร ก็ออกมาซัดเต็มข้อแบบม้วนเดียวจบ พร้อมถามกลับว่า ระหว่าง ไชยชนก ลูกพ่อเนวิน กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ร่วมประชุมในการจัดทำนโยบายและเห็นด้วยกับเรื่องนี้ “ควรจะเชื่อใคร?” 

ตามมาด้วย “อดิศร เพียงเกษ” สส.อาวุโส ได้เขียนกลอนไล่ส่งพรรคภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึง “สมคิด เชื้อคง” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องรักษามารยาททางการเมืองบ้าง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจแทนนายใหญ่ที่เก็บตัวเงียบไม่แสดงท่าทีใดๆ

ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า การอยู่ร่วมกันของต่างพรรคการเมือง ความคิดอาจจะเห็นไม่ตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การอยู่ร่วมกันก็ต้องคุยกัน และเป็นไปแนวทางเดียวกัน ส่วนบางคนที่บอกว่าไม่อยากอยู่ก็ออกไปเลยนั้น ตนเองมองว่าเมื่อมาอยู่ด้วยกันก็ต้องคุยกัน เมื่อหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบอกว่าจบ ก็ต้องจบ 

ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ออกมาตอกย้ำว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัว พรรคภูมิใจไทยแสดงท่าทีในการสนับสนุนร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ค้างอยู่ในสภา

รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยืนยันในหลักการของความเป็นพรรคร่วมฯ ที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน หลังจากที่มีการปรับแก้ตามข้อท้วงติงไปแล้ว

ดังนั้น กระแสข่าวเรื่องเขี่ยพรรคภูมิใจไทย แล้วเปลี่ยนสมการรัฐบาลโดยการดูด สส.มาอยู่ในตะกร้า จัดตั้งคะแนนหนุนในสภา โดยไม่ต้องติดป้ายพรรคการเมือง ตามข้อเสนอของ “มือทำงาน” ของ “นายใหญ่” คะแนนก็ยังปริ่มน้ำเกินไป และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของรัฐบาลในขณะนี้

ในที่สุด สมการดังกล่าวก็คงเป็นแค่ตัวเลือกหนึ่ง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยกับการให้เก้าอี้ รมต.ตอบแทน แต่นั่นต้องยอมเสี่ยงหลักของ “วิญญูชนพึงรู้” ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคุ้มค่าเมื่อแลกกับความสั่นคลอนของสถานะนายกฯ ของผู้เป็นลูกสาว ในฐานะของผู้เสนอแต่งตั้ง

นอกจากนั้นยังมีความเคลื่อนไหวของบางกลุ่มที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ เพราะมองว่าวิกฤตที่อยู่ข้างหน้าคงใช้บริการ “นายกฯ ฝึกงาน” ต่อไปไม่ไหว และหากปล่อยให้เป็นไปครรลองการเมืองแบบ “ตบจูบ” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประเทศคงไปไม่รอด ซึ่งแนวร่วมนี้มีทั้งในรัฐบาลและนอกรัฐบาล ส่งสัญญาณกันชัดๆ

ถึงขนาดมีกระแสข่าวว่า ถ้าในที่สุดดีลเปลี่ยนตัวนายกฯ ไปไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การยุบสภานับหนึ่งใหม่ในสนามเลือกตั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมในสถานการณ์เช่นนี้เท่าใดนัก

และหากพิจารณาจากเหตุปัจจัยทางการเมือง ยังนับว่ายากที่จะนำไปสู่จุดนั้น อย่างมากคือการปรับ ครม.ตามสัดส่วนพรรคการเมือง เพราะแค่ต่อรองแลกกระทรวงข้ามพรรค ก็มีแนวโน้มจะเกิดปัญหาให้ หัวจะปวด อีกมาก

เมื่อดูภาพรวมทางการเมืองหลังเทศกาลสงกรานต์แล้ว คงไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้านี้ เพราะประเด็นที่อ่อนไหว เช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ญัตติ นโยบายของรัฐบาล ยังเป็นเรื่องของการโหนกระแสความนิยมกันอยู่

และจะให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ ก็จำเป็นต้องใช้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุน แต่ในที่สุดก็จะไม่ราบรื่น ปรากฏภาพความขัดแย้งจนนำไปสู่การเจรจาต่อรองตลอดไปจนกว่าจะหมดอายุรัฐบาล

แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ของนายกฯ แพทองธาร ในเรื่องของนายกฯ Gen Y ที่อาจจะมีคำถามในเรื่องของภาวะผู้นำ ศักยภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่แสดงออกถึงความอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับนักการเมืองรุ่นราวคราวเดียวกัน ถูกกังขาว่าจะรับมือวิกฤตจากผลกระทบของสงครามการค้าที่กำลังต่อสู้กันหนักในขณะนี้ไหวหรือไม่

และในอีก 3 เดือนข้างหน้า การเจรจาในการลดภาษีของสหรัฐที่กำหนดไว้จะทำได้แค่ไหน หากยังคงไว้ในเพดานขั้นต่ำ ประเทศไทยก็ยังต้องเจอผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

ที่สำคัญคือ ความไม่แน่นอน ในการกำหนดเกมของประธานาธิบดีสหรัฐ ที่อาจเปลี่ยนไปตามความได้เปรียบต่อคู่ต่อสู้ที่เป็นเป้าหมาย อาจจะส่งผลทางใดทางหนึ่งกับไทยหรืออาเซียนก็ได้

ยังไม่นับการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ที่สุ่มเสี่ยงพัฒนาไปในมิติของความมั่นคงระหว่างจีนและสหรัฐ ที่เผชิญหน้ากันในเกมกำแพงภาษี และอาจจะเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ไปสู่การใช้กำลังทางทหาร เกิดเป็นสงครามจำกัดพื้นที่หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่อาเซียนก็ต้องเตรียมรับมืออยู่เหมือนกัน 

จากปัจจัยทั้งหมด ดูเหมือนว่าโลก ไม่มีข่าวดี เกิดขึ้น “ไทย” เองซึ่งเป็นประเทศเล็กจึงต้องกำหนดแนวทางในการรับมือหลายทาง การจะรอแค่ตัวช่วยอย่าง “สทร.” ทำหน้าที่คิด วางแผน พูดคุย หรือล็อบบี้ เพื่อเปิดทางให้คนของรัฐบาลไปสานต่อ ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ

และผลลัพธ์จากการแก้โจทย์เศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนจนรู้สึกได้ถึงการมีเงินเพิ่มในกระเป๋าอย่างยั่งยืน การแจกเงิน 1 หมื่นก็แค่ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเฉพาะหน้าทางการเมือง ไม่ได้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นตามที่โฆษณาเอาไว้ แสดงให้เห็นราคาของ สทร. ที่ตกต่ำลงอย่างมาก

ยิ่งการวิเคราะห์ของนักวิชาการ คำเตือนจากกูรูทางเศรษฐกิจ เลยไปถึงทีมเศรษฐกิจของฝ่ายค้าน แทบจะออกมาในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลชะล่าใจในการแจกเงินหมื่น เพราะรัฐบาลกู้หนี้สาธารณะเพิ่มเพื่อมาแจก ทั้งที่มีหลายฝ่ายเตือนหลายครั้งว่าวิกฤตเศรษฐกิจรออยู่ข้างหน้า ควรระมัดระวังในการใช้เงิน ไม่ควรใช้เพื่อตอบโจทย์นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ควรมีผลให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจในระบบอย่างแท้จริง

ที่สำคัญคือ จากผลพวงมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ อาจนำไปสู่การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของไทยขึ้นไปอีก ซึ่งจะกลายเป็นภาระของประชาชนในรุ่นนี้และรุ่นต่อไปต้องแบกรับ

ทีมเศรษฐกิจที่นำโดย “พิชัย ชุณหวชิร” รมว.การคลัง ดูเหมือนจะมีความพยายามและตั้งใจอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาอย่างประนีประนอม ภายใต้การให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาต่อสังคม แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้การขับเคลื่อนทางการเมืองที่มีผู้ชี้ขาดกำกับอยู่อีกที

ขณะที่ “นายกรัฐมนตรี” ยังคงให้ความสำคัญกับ “อีเวนต์” และ “วงประชุม” เพื่อแอ็กชันให้เห็นการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ ในวาระงานและเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เป็นประเด็นร้อน ทำงานล้อไปกับกระแสสังคม และบริหารความนิยมไปแบบวันต่อวัน 

ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ ความสามารถ ที่จะรับมือปัญหาที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้อุ่นใจ ต่างจากผู้นำในอาเซียนที่สามารถสื่อสารให้คนภายในประเทศของเขาได้รับทราบถึงทิศทางและจุดยืนของรัฐบาลว่าจะเดินทางไหน

อย่างน้อยก็ลดความกดดันที่จะเกิดกับภาคธุรกิจ ภาคการลงทุน รวมไปถึงประชาชนหาเช้ากินค่ำ กลุ่มเปราะบาง ที่จะระมัดระวัง วางแผนในการใช้ชีวิตในปีที่ไม่มีข่าวดีนี้ได้อย่างไร

หากปล่อยไปเช่นนี้ ยิ่งนานวันไปยิ่งมีผลต่อความนิยมของผู้นำประเทศ พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงต้นทุนเดิมของ “ทักษิณ” ที่เคยถูกมองว่ามีดีเรื่องเศรษฐกิจ ลดน้อยถดถอยลงไป เหมือนเศรษฐกิจที่เสี่ยงจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีกไม่ช้า

หากการเมืองต่อจากนี้มีคำตอบสุดท้ายอยู่แค่ “นายกฯ แพทองธาร” ในการเป็นผู้รับหน้าเสื่อบริหารวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ก็ต้องพร้อมรับก้อนหินที่มาจากเสียงก่นด่าของคนในสังคมที่จะตามมา เพราะถึงแม้เปลี่ยนนายกฯ ไปเป็น “อนุทิน-พีระพันธุ์” ก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน

และเมื่อยินยอมพร้อมที่จะฝ่าพายุเศรษฐกิจครั้งนี้ไปสุดทาง ก็ต้องรับสภาพที่ต้องเจอ จะบอบช้ำแค่เล็กๆ หรือเจ็บหนักระดับเข้าไอซียู อีกไม่กี่เดือนก็จะได้รู้กัน!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ไชยชนก’ ถอดบทเรียนมหาอุทกภัยใต้ เดินเครื่องยกระดับระบบเตือนภัยไทยสู่ระดับโลก ใช้ดาวเทียม-AI เพิ่มความแม่นยำ เร่งบูรณาการข้อมูล พร้อมจัดงบฯ ฟื้นเครือข่ายวิทยุสื่อสาร ตามรอยในหลวง ร.9

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวถึงการถอดบทเรียนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยภาคใต้ และการดำเนินโครงการความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ระหว่างกรมอุตุนิยมวิทยา กับ Tomorrow.io เพื่อยกระดับระบบการเตือนภัยของประเทศไทย

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ครม. ดัน 'กรมอุตุฯ' ใช้ระบบ Tomorrow.io ยกระดับแจ้งเตือนภัยพิบัติเทียบมาตรฐานโลก

ครม.ไฟเขียว กรมอุตุฯ จับมือ Tomorrow.io ดันระบบพยากรณ์ไทยเทียบโลก ทดลองใช้ 3 เดือน “ไม่ใช้งบ” พร้อมของบกลางเล็กน้อย เสริมเสาสัญญาณ–วิทยุฉุกเฉิน

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน