แม้จะเป็นเพียงแค่การเลือกตั้งซ่อม สส.กลางเทอมเท่านั้น แต่สำหรับพรรคกล้าธรรมแล้ว ชัยชนะของ ‘บิ๊กโอ’ นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ที่เขต 8 นครศรีธรรมราช ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
เพราะ 1 ที่นั่งของนายก้องเกียรติคือ สส.แบบแบ่งเขตคนแรกของพรรค ที่ประเดิมสู้ศึกเลือกตั้งในนาม ‘พรรคกล้าธรรม’
มันเป็นผลสำเร็จที่สามารถเอามาต่อยอดในการทำพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งหน้า โดยเฉพาะการสร้าง ‘แรงดึงดูด’ บรรดาเหล่านักการเมือง และนักเลือกตั้งทั้งหลายที่กำลังมองหารังใหม่
โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ที่การเลือกตั้งที่ผ่านมามี 4 พรรคใหญ่หารเก้าอี้กัน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งชัยชนะที่เมืองคอนเป็นการส่งสัญญาณว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีชื่อของ ‘พรรคกล้าธรรม’ เข้ามาขอหารด้วยในดินแดนสะตอ
สำหรับพรรคกล้าธรรมที่มี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าพรรค และมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ประธานที่ปรึกษาพรรค เป็นผู้นำจิตวิญญาณ มีโมเดลในการทำพรรคคล้ายคลึงกับพรรคขนาดกลางหลายพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา นั่นคือ ไม่ได้พึ่งพากระแส แต่พึ่งพา ‘พลัง’ ในการขับเคลื่อน
พวกเขาไม่สามารถพึ่งพากระแสได้เหมือนกับที่พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย เคยหาได้จากฝ่ายประชาธิปไตย หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ หาได้จากฝ่ายอนุรักษนิยม ในคราวที่แล้ว
แต่จะเน้นหนักไปทาง ‘ตัวผู้สมัคร’ ในพื้นที่ แล้วเสริมด้วยทรัพยากรของพรรค หากผู้สมัครคนนั้นเป็นเกรดเอ หรือเกรดบีบวก ที่มีโอกาสจะได้รับชัยชนะ
และขุนพลสำคัญของพรรคกล้าธรรม คือ ผู้นำจิตวิญญาณของพวกเขาเองอย่าง ‘ผู้กองนัส’
อย่างเบื้องหลังชัยชนะของนายก้องเกียรติ ส่วนหนึ่งคือ การที่ ร.อ.ธรรมนัส และคณะลงไปปักหลักค้างแรมกันในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน โดยไม่ได้เดินทางกลับ กทม.
ร.อ.ธรรมนัสลงไปเห็นด้วยตาตัวเอง ว่ายังขาดและยังเหลือพื้นที่ไหนที่พรรคกล้าธรรมต้องเติมลงไปถึงจะคว้าชัยในสนามแรกของพวกเขาได้
ด้วยสไตล์การทำงานแบบนักเลง ถึงลูกถึงคน กล้าได้กล้าเสีย จึงไม่มีใครกล้าตุกติก
ขณะที่การเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคกล้าธรรมต้องการเป็นพรรคตัวแปรทางการเมือง เช่นเดียวกับสถานะที่พรรคภูมิใจไทยเป็นอยู่ขณะนี้
หลายคนอาจมองว่า พรรคกล้าธรรมเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทย ที่ไว้สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าในภาคใต้ เนื่องจากแบรนด์สีแดงยังไม่สามารถลบล้างอดีตกับคนปักษ์ใต้ได้ แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะความจริงแล้ว ร.อ.ธรรมนัสไม่ได้ต้องการเป็นแค่อะไหล่ของพรรคเพื่อไทย หากแต่ต้องการเป็นพรรคที่มีอำนาจต่อรองทางการเมือง ไม่ว่าจะในปัจจุบัน หรืออนาคต
ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคกล้าธรรมรู้ตัวเองดีว่า ไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีทางการเมือง ในขณะเดียวกันยังรู้ว่า หากพวกเขาไร้ประโยชน์ทางการเมือง ย่อมถูกเขี่ยได้ในวันใดวันหนึ่ง เพราะมีแกนนำรัฐบาลบางคนไม่ได้ชอบพวกเขา
แต่ที่ยังอยู่ได้ในวันนี้ เพราะ ร.อ.ธรรมนัสยังมีประโยชน์ต่อพรรคแกนนำอย่างพรรคเพื่อไทย และเป็นมือเป็นไม้คนสำคัญให้กับผู้นำจิตวิญญาณของค่ายสีแดง
ฉะนั้น พรรคกล้าธรรมในปัจจุบันจึงต้องสร้างพลังทางการเมืองให้กับตัวเอง ด้วยการเพิ่มปริมาณ สส. เพื่อให้ยังมีความสำคัญต่อรัฐบาล และมีประโยชน์ในทางการเมือง
เช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งหน้าที่พวกเขาก็ต้องการจะรักษาความเป็นพรรคที่มีพลังทางการเมืองเอาไว้
ขณะที่พื้นที่เป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ได้มีแค่พื้นที่ภาคใต้ เหมือนที่ใครหลายคนมองว่า พวกเขาเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทยจำแลงตัวมา แต่ยังมีในทุกภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันตก และภาคกลางด้วย
จุดหลักคือ รักษาพื้นที่มั่นเดิมของ สส. 20 กว่าคนในพรรค ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สส.แบบแบ่งเขต กระจายกันอยู่ในภาคเหนือ อีสาน ตะวันตก กลาง และจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกือบทั้งหมดเอาไว้ให้ได้ และบวกเพิ่มในพื้นที่ที่มีโอกาส
ส่วนภาคเหนือ และภาคอีสาน จะพยายามหลีกเลี่ยงการลงชนกับพรรคเพื่อไทย โดยจะลงในเขตที่ตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยสู้ไม่ได้ โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่พรรคภูมิใจไทยเข้าไปยึดครองแทนมาสักพัก อาทิ จ.บึงกาฬ หรือเขตที่พรรคพลังประชารัฐ สังกัดเก่าเคยชนะ อย่างเช่น จ.หนองคาย ซึ่งพรรคกล้าธรรมเริ่มทำพื้นที่แล้ว
กล่าวคือ เขตไหนพรรคเพื่อไทยสู้พรรคภูมิใจไม่ได้ และต้องใช้พลังเยอะ ‘พรรคกล้าธรรม’ ของ ร.อ.ธรรมนัสจะอาสาชน
ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ ร.อ.ธรรมนัสน่าจะลุยเยอะหน่อย เพราะมีประสบการณ์เป็นขุนพลให้กับพรรคพลังประชารัฐมาถึง 2 การเลือกตั้งแล้วในโซนนี้ รู้ว่าหากอยากปักธงในแดนสะตอต้องทำอย่างไร
เป้าหมายค่อนข้างชัด ‘กล้าธรรม’ ต้องการเป็นพรรคขนาดกลางที่มีความสำคัญ และมีพลังต่อรองทางการเมืองสูง
ส่วนจะได้หรือไม่ ต้องรอดู.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


