‘ฝ่ายค้าน’ แฉงบรายทาง โปรยตะปูดัก พ.ร.บ.รายจ่าย 69

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะให้ความเห็นชอบวันที่ 20 พ.ค. เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 วันที่ 28-30 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการแบ่งเวลาให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 20 ชั่วโมง ประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง ในเวลา 3 วัน

โดยวงเงินรวมกว่า 3.78 ล้านล้านบาท ที่เพิ่มขึ้น 27,900 ล้านบาท หรือ 0.7% จากปีงบประมาณ ปี 2568 รายได้สุทธิที่คาดการณ์คือ 2.92 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากปีก่อน การขาดดุลงบประมาณ ประมาณ 860,000 ล้านบาท หรือ 4.3% ของ GDP ลดลงจาก 4.5% ในปีงบประมาณ 2568 

แม้โครงสร้างรายจ่ายหลักจะลดลง เช่น รายจ่ายประจำ รายจ่ายลงทุน แต่มีการเพิ่มเติมรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ไว้ที่ 123,541 ล้านบาท (3.3%) ซึ่งปีที่แล้วไม่มีการตั้งงบในส่วนนี้ และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ อีก 151,200 ล้านบาท (4.0%) เพิ่มขึ้น 0.7%

การจัดทำงบประมาณปี 2569 นั้น อยู่ภายใต้สมมติฐานทางเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 2.3-3.3% (ค่ากลาง 2.8%) และอัตราเงินเฟ้อในช่วง 0.7-1.7% (ค่ากลาง 1.2%) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางเศรษฐกิจ และการบริหารประเทศ

ในช่วงสถานการณ์โลกบริบทปัจจุบัน หนำซ้ำไทยกำลังผจญอยู่ในวังวนสงครามการค้า ล่าสุดจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่อาจกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดเหลือ 2.1% จากเดิม 3.0% ขณะที่ธนาคารโลกปรับลดเหลือเพียง 1.6%

ดังนั้นรัฐบาลจึงมีแนวคิดปรับงบประมาณปี 2569 โดยใช้กลไกสภาฯ ในการปรับ “งบกลาง” เพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าว ซึ่งอาจทบทวนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดที่กำกับดูแลหน่วยรับงบประมาณ ให้จัดทำคำขอรับการจัดสรรงบให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ให้สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาล ตลอดจนให้หน่วยรับงบประมาณ ที่มีเงินนอกงบประมาณ พิจารณานำเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ และเงินสะสม มาใช้ในการดำเนินภารกิจเป็นลำดับแรก

พร้อมให้สำนักงบประมาณ พิจารณาจัดสรรงบ โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล มีความจำเป็นเร่งด่วน สามารถแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชน และสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศต่อไป

ด้านความเคลื่อนไหวจากฝ่ายค้าน นำโดย ‘พรรคประชาชน’ ได้เริ่มมีการเปิดเผยจำนวนเงินงบประมาณที่ถูกใช้ไปในแต่ละโครงการของหน่วยงานต่างๆ อยู่เป็นระยะ โดยอาศัยกลไกของคณะกรรมาธิการ เพื่อเรียกหน่วยงานเข้าให้ข้อมูลและขอเอกสาร อาทิ ประกันสังคม อาคาร กสทช. ตลอดจนการที่กลุ่มทุนเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ อย่างกรณี อาคาร สตง.ถล่ม

ล่าสุด คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งมี นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษก พรรคประชาชน เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้มีการเชิญหน่วยงานต่างๆ เข้ามา อย่าง กกต., วุฒิสภา

ตัวอย่าง ป.ป.ช.ที่มักจะมีการแทรกซึมงบประมาณไว้ในหน่วยงานอื่น ผ่านการบูรณาการป้องกันการทุจริต เช่น สำนักงานสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี เงินส่วนนี้จะอยู่ที่ ป.ป.ท. หรือกระทรวงมหาดไทย ก็อยู่ใน อปท.

สำหรับสภาผู้แทนราษฎร ถูกเน้นย้ำไปที่ ‘โครงการใหม่ที่หน่วยงานเห็นว่าสำคัญและใช้งบประมาณในวงเงินสูง’ ทั้งที่ได้ขอไป และสำนักงบประมาณอนุมัติ และไม่อนุมัติ จำนวนถึง 15 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้าง เติมแต่ง ติดตั้งระบบของอาคารรัฐสภา ซึ่งอาจยังไม่มีความจำเป็นในเวลานี้

นายพริษฐ์ให้เหตุผลว่า “ในฐานะที่สภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์กรที่อนุมัติ และชี้ขาดว่า งบประมาณจากภาษีประชาชนในแต่ละปี จะถูกจัดสรรไปที่หน่วยงานใด โครงการอะไร หากงบประมาณของสภาเอง ถูกใช้อย่างไม่สมเหตุสมผล สภาผู้แทนราษฎรอาจสูญเสียความชอบธรรม ในการตรวจสอบงบประมาณของหน่วยงานอื่น และทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในสภาน้อยลง ซึ่งย่อมส่งผลต่อสุขภาพของประชาธิปไตยเรา”

สะท้อนว่า ‘การตั้งธง’ ในการอภิปรายครั้งนี้คือ ‘ตัด-ลด’ งบประมาณที่เกินจำเป็น และไม่สมเหตุสมผล เสมือนตอกย้ำ หรืออาจสั่นคลอน ‘ความเชื่อมั่น’ ภายใต้การจัดสรรของ ‘รัฐบาล’ ผู้บริหารประเทศ

 “ไม่ว่างบประมาณจะมีที่มาอย่างไร หรือถูกตั้งมาโดยใคร ณ เวลานี้ ยังไม่สายเกินไปที่พวกเราผู้แทนราษฎรทุกฝ่าย จะร่วมกันทำการตรวจสอบ และปรับลดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า สภาผู้แทนราษฎรพร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณของหน่วยงานตนเองเช่นกัน” นายพริษฐ์กล่าว

แต่ไม่ว่าจะตัดไปกี่โครงการ หรือจะสามารถทำลาย ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้มากน้อยแค่ไหน ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คืองบอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งถูกจัดสรรเพิ่มขึ้นเป็น 389,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.95% จากปีก่อน เพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจ และส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของท้องถิ่น

ที่จะสอดรับกับการหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ซึ่งต้องเร่งสร้างฐานคะแนนนิยมในช่วงการเลือกตั้งท้องถิ่น เพื่อต่อเนื่องไปยังระดับชาติ โดยเฉพาะ ‘ภูมิใจไทย’ ในฐานะเจ้ากระทรวงมหาดไทย ว่าจะถูกหางเลขไปด้วยเพียงใด

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า การอภิปรายครั้งนี้จะเข้มข้นดุเดือดจนกลายเป็น ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจรอบ 2’ ได้หรือไม่ หรือจะมี ‘ดาวดวงใหม่’ ปรากฏชัดขึ้นอีกกี่คน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วาระร้อนหลังเปิดสภาฯ12ธ.ค. จุดไฟการเมืองลุกโชนก่อนยุบ!

รัฐสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมกันอีกครั้งตั้งแต่ 12 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งหากจังหวะการเมืองเดินไปตาม MOA ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทำไว้กับพรรคประชาชน ก็คือจะ ยุบสภาฯ ในวันที่ 31 มกราคม 2569

หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง

โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล

'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก