“วีโต-ไม่วีโต” ในมือสมศักดิ์ “ทางสองแพร่ง” ชี้วัดสังคมไทย

กรณีมติแพทยสภาลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนความซับซ้อนของการเมืองไทยในมิติที่ผสมผสานระหว่างจริยธรรมวิชาชีพและอิทธิพลทางการเมือง โดยมี สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภา เป็นผู้เล่นหลักที่ต้องตัดสินใจว่าจะวีโตมติแพทยสภาหรือไม่ ภายในวันที่ 28-29 พ.ค.2568 

มติแพทยสภาและแพทย์ที่ถูกลงโทษ แพทยสภามีมติเมื่อวันที่ 8 พ.ค.2568 ลงโทษแพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษา ทักษิณ ชินวัตร จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปยังชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถูกลงโทษว่ากล่าวตักเตือน เนื่องจากประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน (เกี่ยวกับการออกใบส่งตัวล่วงหน้า)

ที่ประชุมแพทยสภาสรุปว่า ทักษิณ ไม่มีภาวะวิกฤตทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งขัดแย้งกับเอกสารและการตัดสินใจของแพทย์ทั้ง 3 ส่งผลให้มติดังกล่าวถูกส่งต่อไปยัง สมศักดิ์ เทพสุทิน เพื่อพิจารณาตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ซึ่งกำหนดให้ สภานายกพิเศษ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) มีอำนาจเห็นชอบหรือวีโตมติภายใน 15 วัน

ด้านฝั่ง ทักษิณ ชินวัตร ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับมติแพทยสภาอย่างชัดเจน โดยระบุว่า “แพทยสภามีหน้าที่ดูเรื่องจริยธรรมของแพทย์ แต่บางทีแพทยสภาก็ไม่มีจริยธรรมเสียเอง” คำพูดนี้สะท้อนมุมมองของทักษิณที่มองว่าแพทยสภาถูกครอบงำด้วยอคติทางการเมือง โดยเฉพาะจากกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับฝ่ายต่อต้านเขาในอดีต

ทักษิณ ยังย้ำว่า แพทย์ที่รักษาเขาได้ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง และการลงโทษดังกล่าวอาจเป็นการ “กลั่นแกล้ง” เพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองมากกว่าพิจารณาจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์

การออกมาปกป้องแพทย์ทั้ง 3 ของทักษิณ ไม่เพียงเป็นการปกป้องตัวเองในฐานะผู้ป่วย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงฐานอำนาจของเขาที่ต้องการรักษาอิทธิพลในเวทีการเมือง โดยใช้กรณีนี้เป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม

ขณะที่ท่าทีคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ โดย สมศักดิ์ ลงนามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 807/2568 เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2568 แต่งตั้งคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ 10 คน เพื่อพิจารณามติแพทยสภา โดยมี พงษ์ศักดิ์ แก้วกมล เป็นผู้แทนประธาน และ ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นหนึ่งในกรรมการ รวมถึง นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย

โดยคณะกรรมการชุดนี้ได้มีการประชุม และพบว่าเอกสารจากแพทยสภาขาดความครบถ้วน โดยเฉพาะรายละเอียดการพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองและการลงมติของที่ประชุมใหญ่แพทยสภา ซึ่งบางกรณีแสดงให้เห็นว่าเสียงข้างมากในอนุกรรมการไม่เห็นด้วยกับการลงโทษ แต่ที่ประชุมใหญ่กลับยึดตามเสียงข้างน้อย

คณะกรรมการมีความเห็นแตกออกเป็น 2 ฝ่าย บางส่วนสนับสนุนให้ "วีโต" มติแพทยสภา โดยอ้างว่ากระบวนการพิจารณามีข้อบกพร่องและอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนอีกฝ่ายเห็นว่าควรเคารพมติแพทยสภาเพื่อรักษาความเป็นอิสระของวิชาชีพ

ขณะที่มุมมองนาย “นรินท์พงศ์ “วิจารณ์ว่าแพทยสภาขาดจริยธรรม และอาจมีวาระซ่อนเร้น โดยระบุว่า “แพทยสภาลืมนกหวีดไว้ข้างหลัง” ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยถึงอิทธิพลของกลุ่มการเมืองที่เคยเคลื่อนไหวต่อต้านทักษิณในอดีต คณะกรรมการยื่นรายงานความเห็นต่อสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2568

โดยเน้นย้ำว่าข้อมูลที่ได้รับจากแพทยสภาไม่ครบถ้วน และการพิจารณาควรครอบคลุมกฎหมายของกรมราชทัณฑ์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย

ขณะที่ท่าทีของ “สมศักดิ์” ซึ่งมีประสบการณ์การเมืองยาวนานกว่า 40 ปี ในขณะนี้ถือว่ารับเผือกร้อน ในฐานะ สภานายกพิเศษแพทยสภา แสดงท่าทีระมัดระวัง แต่ชัดเจนว่าต้องการพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ

 “ถ้าวีโตก็ต้องส่งกลับไปยังแพทยสภาให้ทันใน 15 วัน แต่ถ้าไม่วีโตก็ไม่ต้องส่งความเห็นกลับไป” และย้ำว่า

“ไม่มีอะไรหนักใจ งานที่ทำมา 40 ปี ไม่ทำให้รู้สึกหนักใจ” นอกจากนี้ สมศักดิ์ ยังแสดงความกังขาต่อกระบวนการของอนุกรรมการแพทยสภาที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ในการเปลี่ยนแปลงบทลงโทษก่อนส่งเข้าที่ประชุมใหญ่ และผิดหวังที่แพทยสภาไม่ส่งเอกสารเพิ่มเติมตามที่ร้องขอ โดยระบุว่า “สิ่งที่เราอยากได้ ก็ยังไม่มา แต่แพทยสภาไม่ได้ให้แล้ว ก็ไม่เป็นไร”

ทั้งนี้ หาก “สมศักดิ์” ใช้อำนาจการเป็นสภานายกพิเศษ แพทยสภา วีโตมติแพทยสภา ก็จะต้องแจ้งไปยังแพทยสภา ภายในไม่เกินวันที่ 30 พ.ค. จากนั้น แพทยสภาจะนำผลวีโตดังกล่าว มาหารือและลงมติในการประชุมใหญ่กรรมการแพทยสภา วันพฤหัสบดีที่ 12 มิ.ย.นี้ ซึ่งการจะยืนยันมติเดิมแพทยสภาให้ลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน จะต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของกรรมการแพทยสภา คือต้องได้เสียง 47 เสียงขึ้นไป

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าแพทย์ทั้ง 3 ที่ถูกลงโทษเตรียมยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อคัดค้านมติแพทยสภา โดยอ้างว่ากระบวนการพิจารณาของแพทยสภาขาดความเป็นธรรมและเอกสารไม่ครบถ้วน โดย “นายนรินท์พงศ์” ระบุว่า “แพทย์เหล่านี้จะใช้คำสั่งนี้ไปต่อสู้ที่ศาลปกครอง” โดยเฉพาะ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ ที่ถูกพักใบอนุญาต อาจใช้เอกสารที่ยื่นต่อสภานายกพิเศษเป็นหลักฐานในการอุทธรณ์ การฟ้องศาลปกครองจะเป็นการยืดเวลาการบังคับใช้คำสั่งลงโทษ และอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อปกป้องชื่อเสียงของแพทย์ และตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของแพทยสภา

กรณีชั้น 14 ไม่เพียงเป็นเรื่องจริยธรรมวิชาชีพ แต่ยังเป็นสมรภูมิที่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างนักการเมืองกับหมอ การตัดสินใจของนายสมศักดิ์จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร

น่าสนใจว่า หาก "สมศักดิ์" วีโตมติแพทยสภา อาจถูกมองว่าเป็นการปกป้อง “ทักษิณ” และแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำข้อครหาว่าพรรคเพื่อไทยใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมและวิชาชีพ ส่งผลให้ฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านทักษิณมีโอกาสปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลในวงกว้าง

ในทางกลับกัน หาก “สมศักดิ์” เห็นชอบมติแพทยสภา จะเป็นการแสดงจุดยืนที่เคารพความเป็นอิสระของวิชาชีพ แต่จะสร้างรอยร้าวในพรรคเพื่อไทย และอาจทำให้ “ทักษิณ” ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาอิทธิพลทางการเมืองของเขา การฟ้องศาลปกครองของแพทย์ทั้ง 3 จะยิ่งทำให้ประเด็นนี้ยืดเยื้อ และอาจกลายเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลใช้โจมตีในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่การเมืองไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางสังคม

ฉะนั้นการตัดสินใจของ “สมศักดิ์” จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกรณีชั้น 14 ที่อาจกำหนดทิศทางการเมืองไทย “ทักษิณ” และตัวเขาเองในอนาคต ซึ่งไม่ว่าจะออกไปในทิศทางไหนก็เจ็บไม่ต่างกัน

ดังนั้นปมนี้กลายเป็นเชื้อไฟให้การเมืองไทยร้อนระอุยิ่งขึ้นในปี 2568 ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างความเป็นธรรมในวิชาชีพและอิทธิพลทางการเมืองที่ยังคงครอบงำทุกมิติของสังคมไทย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม

"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

‘สมศักดิ์’ ประชุมคืบหน้าแก้น้ำท่วมยมฝั่งขวา เร่งคุยชาวบ้านเดินหน้าโครงการ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายนพฤทธิ์ ศิริโกศล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโ