3ร่างแก้รัฐธรรมนูญที่แตกต่าง เลือกหนทางที่มา'ส.ส.ร.'แบบใด

เมื่อประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ที่ได้เริ่มดําเนินการทํางานทันที

โดยนายอนุทินได้ให้คำยืนยันภายหลังการประชุม ครม.นัดพิเศษครั้งแรกว่า ด้านนิติบัญญัติ รัฐบาลจะจัดให้ทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งจะเกิดขึ้นในปีหน้า

 “ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะยุบสภาผู้แทนราษฎรใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา คาดว่าเราจะยุบสภาภายในสิ้นเดือนมกราคม 2569 เพื่อคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน ให้ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งภายในเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน 2569 ทั้งนี้ สุดแล้วแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะได้กำหนดต่อไป” นายอนุทินกล่าว

ขณะเดียวกัน ฝ่ายนิติบัญญัติก็ปรากฏความชัดเจนมากขึ้น ในความพยายามเดินหน้าจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จากการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งเน้นไปที่หมวด 15 และการสรรหา สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ผู้ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค เข้ายื่นร่างแก้ไข เสนอ ‘โมเดล 2 คณะ’ รวม 135 คน แบ่งเป็นกลไกแรก คือ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีม และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นรัฐสภาคัดเลือก 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เท่ากับว่า หากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิ์รวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อกรรมาธิการยกร่าง 1 คน

กลไกที่สอง คือ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชน และสะท้อนความเห็นต่อ กรธ.ยกร่างฯ โดยทั้ง 100 คน มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ใช้ระบบแบ่งเขต ที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นรายบุคคล และใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดละ 1-5 คน ตามจำนวนประชากร

ขณะที่พรรคเพื่อไทย นำโดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นร่างแก้ไข ให้ ส.ส.ร.มาจาก ‘ตัวแทนจังหวัด-อาชีพ’ รวม 151 คน มี 2 ส่วน คือ 1.ให้มี ส.ส.ร.จํานวน 100 คน โดยรัฐสภาเป็นผู้เลือก จากการที่ประชาชนเลือกมาทั้งหมด 300 คน ซึ่งมีหลักประกันให้ใน 1 จังหวัดต้องมี ส.ส.ร.อย่างน้อย 1 คน และ 2.การให้ตัวแทนองค์กรวิชาชีพ และสภาต่างๆ รวมไปถึงมหาวิทยาลัย เข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยจะให้องค์กรเหล่านั้นเลือกเสนอชื่อบุคคลเข้ามาเอง ท้ายที่สุดคาดว่าจะได้บุคคลที่มาเป็น ส.ส.ร.ประมาณ 51 คน

สำหรับพรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาล นำโดย น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย และ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เข้ายื่นร่างแก้ไข โดยเลือกใช้จำนวน 99 คน โดยหยิบยกแนวทาง ‘ส.ส.ร.ปี 40’ ที่กำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกผู้สมัคร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มที่ลงสมัครจากจังหวัดต่างๆ จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน และ 2.กลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ 22 คน แบ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน 7 คน ผู้เชี่ยวชาญสาขารัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 7 คน และผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการร่างรัฐธรรมนูญ ตามเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด 8 คน

ทั้งนี้ จะให้ ส.ส.ร.ไปสรรหากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 25 คน ที่มาจาก ส.ส.ร. 2 ใน 3 ของสภา และมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม มีหลายฝ่ายยังคงกังวลถึงการเดินเกม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่ดูจะไม่กระตือรือร้นมากเท่าที่ควร เหมือนเพียงทําตามหน้าที่ ค่อยๆ ขยับ ไหลไปช้าๆ ไม่มีการเดินหน้าขอคะแนนเสียง หรือโน้มน้าว สว.เสียด้วยซ้ำ ทั้งยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องทวงถามอีกในทุกย่างก้าว

ในรายละเอียดแก้ไขของพรรคภูมิใจไทยเองก็ดูอาจจะสุ่มเสี่ยงเป็นการกินรวบได้ แม้ นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สส.อ่างทอง และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะชี้แจงว่า “ด้วยจำนวน 70 เสียงของพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถกินรวบได้ เมื่อเทียบกับพรรคประชาชนที่มีกว่า 140 เสียง หรือพรรคเพื่อไทยที่มีจำนวนใกล้เคียงกัน” ก็ไม่ได้ทําให้คลายความสงสัยแต่อย่างใด

ส่วนพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ ลอยตัวไปไกลแล้ว นายชูศักดิ์ ศิรินิล ตั้งข้อสังเกตว่า อย่างน้อยที่สุด ร่างที่นําเสนอไปนั้น ต้องทําให้เสร็จสิ้นในวาระ 3 ก่อนที่จะมีการยุบสภา จึงจะสามารถเดินไปได้

โดยพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค และกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้น คงมีภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง ชนิดที่ว่าไม่มีเวลาไปทําอะไรเลย เพราะประสบการณ์ที่ตนมีมา ไม่เคยมีการพิจารณาวาระ 1 วาระ 2 และวาระ 3 ให้เสร็จภายใน 4 เดือน ถือเป็นเรื่องยากมากๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาระหนักจึงถูกตีกลับไปที่พรรคประชาชนว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อการกระทําของพรรคภูมิใจไทย เพื่อกดดันเร่งเร้ากระบวนการให้เดินหน้าสู่เป้าหมายได้จนสำเร็จ เพราะหากแค่แก้ไขหมวดเดียวยังทําไม่ได้ การจัดทําทั้งฉบับใหม่คงได้แต่เพียงฝัน

ล่าสุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เปิดเผยออกมาแล้วว่า จะมีการพิจารณาร่างทั้งหมด ในวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้

ดังนั้นความน่ากังวลที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องต่างกังวลแค่ว่า เสียง สว.เพียงพอแล้วหรือยัง ไทม์ไลน์ที่ตั้งไว้นั้น จะเดินตามได้จริงหรือไม่ แต่เพราะเนื้อหาของแต่ละพรรคในตอนนี้ มีความแตกต่างกันมากเกินไป จึงต้องอาศัยการพูดคุยให้ได้ข้อสรุปตรงกัน ว่าร่างใดจะเป็นหลักในการพิจารณา เพราะนั่นจะเป็นตัวกําหนดทิศทางให้เดินตามกรอบในแบบที่ทุกฝ่ายจะพอยอมรับกันได้

ไม่เช่นนั้นแล้ว หากปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไหลตามกระบวนการ หยิบยกขึ้นหารือในห้องประชุมสภาใหญ่ ทั้งที่ยังไม่มีการตกลงชัดเจน ก็อาจเกิดกรณีโต้เถียงไปถึงลงมติ ซึ่งก็ทำให้ตัวเลขกระจาย อาจกลายเป็นว่า ไม่มีร่างใดได้เสียงสนับสนุนเพียงพอ จนทำให้การแก้ไขในครั้งนี้ถือเป็นอันตกไป!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

ภาพเก่าถูกยกมาปั่น! เกมเบี่ยงศึกสแกมเมอร์หมื่นล้านในยุคอนุทิน

วันที่ภาพเก่าหลายเฟรมของ “เบน สมิธ” ถูกดันกลับขึ้นมาในโซเชียล คือวันเดียวกับที่ ปปง. แถลง ยึด-อายัดทรัพย์ 289 รายการ มูลค่ากว่า 10,165 ล้านบา