ในช่วงเวลาเพียง 4 เดือน หลังจากที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ภายใต้รัฐบาลเฉพาะกิจ ภาพการเมืองไทยเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่หลายฝ่ายมองเป็นเพียงผู้นำเฉพาะกิจ คอยประคองสถานการณ์ก่อนการยุบสภา กลับกลายเป็นว่า “นายกฯ หนู” ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั้งนักการเมืองและประชาชน
รัฐบาลเฉพาะกิจที่ถูกมองว่ามีเวลาจำกัด ทำให้ “อนุทิน” ต้องเดินหมากเร็วและแรง โดยตั้งเป้าชัดเจนว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 4 เดือน สร้างผลงานให้ประชาชนเห็นจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางการเมืองและต่อยอดสู่อนาคต
“นายกฯ อนุทิน” ย้ำว่า “เราเล็งผลเลิศ” ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของนักบริหารทั้งแบบเอกชนและการเมือง ที่ไม่ได้ต้องการเพียงผ่านช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ต้องการวางรากฐานไปสู่รัฐบาลเต็มสมัยใน 4 ปีข้างหน้า หลังเลือกตั้งในช่วงปลายเดือน มี.ค.-ต้น เม.ย.2569
นโยบายของรัฐบาลอนุทินจึงถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ปัญหาหนักที่สุดของประชาชนอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ ภัยธรรมชาติ สังคม และความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่เตรียมเปิดตัวในเดือนตุลาคม เพื่อช่วยประชาชนจำนวน 20 ล้านคน ลดรายจ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจ
แม้นโยบายทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่กลับสร้างแรงสะเทือนในสนามการเมืองอย่างชัดเจน พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลเริ่มได้รับแรงหนุนจากหลายทิศทาง นักการเมืองจากพรรคต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มบ้านใหญ่ทยอยเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง
จนเกิดคำเรียกขานว่า “ภูมิใจดูด” ซึ่งอนุทินไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง กลับตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าดูดมาแล้วได้คนดี ตั้งใจทำงานให้ประชาชน ผมก็ภูมิใจที่จะดูด”
พรรคภูมิใจไทยกำลังขยายฐานอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในภาคใต้ กลุ่มอดีต สส.จากพรรครวมไทยสร้างชาติ เริ่มที่ ในจังหวัดชุมพร “ชุมพล จุลใส” อดีต สส.จาก รทสช.ได้นำทีมองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาจังหวัดจำนวนมากเข้าสังกัดภูมิใจไทย เช่นเดียวกับบ้านใหญ่กาญจนะ สุราษฎร์ธานี นำโดย “ชุมพล” และ “โสภา กาญจนะ” นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ก็มีแนวโน้มเข้าร่วมพรรค
ขณะเดียวกัน “โกหนอ” หรือ “สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” ซึ่งดูแลพื้นที่ตรัง และมีความสัมพันธ์กับ สส.ตรัง 2 คน ได้แก่ “สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ” และ “กาญจน์ ตั้งปอง” จากพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง “ทวี สุระบาล” จากพรรคพลังประชารัฐ ต่างมีแนวโน้มย้ายเข้าร่วมภูมิใจไทยในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
ส่วนกลุ่มของ “นิพนธ์ บุญญามณี” ซึ่งมีลูกชาย “สรรเพชญ บุญญามณี” สส.สงขลา และ “สมยศ พลายด้วง” สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ก็เตรียมย้ายมาภูมิใจไทยเช่นกัน โดยมีรายงานว่า วันที่ 11 ตุลาคมนี้ “นิพนธ์” จะเปิดบ้านเขารูปช้าง จ.สงขลา ต้อนรับ “อนุทิน” พร้อม “เนวิน ชิดชอบ” ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยจะร่วมรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน แม้ “นิพนธ์” ยังกั๊กจะขอรอดูผลเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 18 ตุลาคมก่อนก็ตาม แต่เชื่อว่าสุดท้ายน่าจะอยู่กับพรรคที่มีความพร้อมมากที่สุด
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ แม้ทัพภาคใต้ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม ประกาศจะกวาดที่นั่งภาคใต้ไม่ต่ำกว่า 30 ที่นั่ง จาก 59 ที่นั่งในภาคใต้ หลังจากปี 66 ได้ สส.เพียง 12 ที่นั่ง
ล่าสุด “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ร่วมด้วย “จุติ ไกรฤกษ์” สส.บัญชีรายชื่อ “อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์” สส.ราชบุรี และ “ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู” “อนุชา บูรพชัยศรี” สส.บัญชีรายชื่อ ต่างเข้าร่วมแสดงตัวกับพรรคภูมิใจไทยแล้ว
ขณะที่ “สุชาติ ชมกลิ่น” รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะนำ สส.เพชรบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ อาทิ นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ สส. เพชรบุรี จ.อ.อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรบุรี และทีมชลบุรี เช่น นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี เป็นต้น เปิดตัวพรรคภูมิใจไทยอีกด้วย ในเร็วๆ นี้
สำหรับภาคอีสาน พรรคสีน้ำเงินเดินเกมรุกต่อเนื่อง เปิดตัวกลุ่มบ้านใหญ่รัตนเศรษฐ นำโดย “ทวิรัฐ รัตนเศรษฐ” และ “ตติรัฐ รัตนเศรษฐ” บุตรชายของ “วิรัช รัตนเศรษฐ” พร้อมอดีต สส.พรรคเพื่อไทยอย่าง “โกศล ปัทมะ” และอดีต สส.ขอนแก่น “พงศกร อรรณนพพร” เข้าร่วมพรรคแล้ว ทั้งหมดสะท้อนพลังดึงดูดของภูมิใจไทยที่กำลังกลายเป็น “แม่เหล็กการเมือง” ของภูมิภาค รวมถึงยังพบ “เกรียง กัลป์ตินันท์” แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และบ้านใหญ่เมืองอุบลราชธานี ปรากฏตัวบริเวณด้านหน้าล็อบบี้โรงแรมดังย่านซอยรางน้ำ ซึ่งคาดว่าได้มาพบกับแกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย เพื่อหารือถึงการย้ายเข้าสังกัดในการเลือกตั้งสมัยหน้า
“สติธร ธนานิธิโชติ” นักวิชาการรัฐศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทยมีแนวโน้มคว้าที่นั่ง สส. “หลักร้อยขึ้นไป” เหตุผลสำคัญคือ การที่อดีต สส.จากพรรคการเมืองอื่นทยอยเข้าร่วม ซึ่งเท่ากับเป็นการการันตีฐานเสียงในพื้นที่ต่างๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เมื่อมีอดีต สส.จากพรรคอื่นย้ายเข้ามา ก็เท่ากับว่าพรรคมีคะแนนสะสมอยู่แล้ว ส่วนปาร์ตี้ลิสต์จะได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของพรรคในช่วงที่เป็นรัฐบาล
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า จุดแข็งของภูมิใจไทยในเวลานี้ไม่ได้อยู่เพียงที่การดูดซับฐานเสียงจากพื้นที่ต่างๆ แต่ยังได้เปรียบจากการที่คู่แข่งยังไม่แข็งแรง โดยเฉพาะฝ่ายอนุรักษนิยม ซึ่งหลังการสิ้นสุดยุค “รวมไทยสร้างชาติ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังไม่มีพรรคใหม่ที่สามารถสืบทอดคะแนนจากกลุ่มเดิมได้อย่างชัดเจน
พื้นที่ภาคอีสานตอนล่างถูกมองว่าเป็นเขตยุทธศาสตร์ของภูมิใจไทย ครอบคลุมจังหวัดสำคัญอย่างอุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ ซึ่งมีฐานแน่นหนาจากกลุ่มบ้านใหญ่
ขณะเดียวกันกระแสทางการเมืองในภาคใต้ก็เริ่มเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด โดย “สติธร” ประเมินว่าการแข่งขันในสนามเลือกตั้งรอบหน้าจะเหลือเพียงไม่กี่พรรคหลัก ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคประชาชน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ อาจรักษาที่มั่นได้เพียงบางพื้นที่บ้านใหญ่ แต่หากมีการเคลื่อนย้ายเมื่อใด พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นของภูมิใจไทยทั้งหมด
ส่วนพรรคกล้าธรรมอาจสามารถเจาะบางเขตของพรรคประชาชาติ หรือพรรคพลังประชารัฐได้ เช่นเดียวกับกรณีของ “เดชอิศม์ ขาวทอง” รักษาการเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีแนวโน้มจะย้ายไปร่วมกับพรรคกล้าธรรม
เมื่อผลงานและคนการเมืองไหลเข้ามาพรรคสีน้ำเงินอย่างไม่ขาดสาย คำอวยพรของ “เนวิน ชิดชอบ” ที่กล่าวในวันเกิดของตนเอง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า “ขอให้นายอนุทินได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีก 4 ปี” จึงกลายเป็นสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจน ส่วนจะเกิดขึ้นจริงตามคำอวยพรหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนให้คำตอบ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ทุบโต๊ะ! ประเทศมหาอำนาจกดดันไทยหยุดยิงไม่ได้ ต้องไปบอกฝ่ายกัมพูชา
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี ที่นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนชนจีน ได้คุยโทรศัพท์กับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
'อนุทิน' บอกถ้าได้เป็นรัฐบาล 'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์' ร่วมงานต่อ เดินหน้าคนละครึ่ง
"อนุทิน" ระบุแคนดิเดตนายกฯ ยังไม่ตอบรับ แต่ถ้าได้เป็นรัฐบาลยืนยัน "เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์" ร่วมงานต่อ ส่วนจะเปิดตัววันไหนบอกยังมีเวลา ส่วนนโยบายพรรคยังไม่สะเด็ดน้ำ แต่คนละครึ่งพลัสได้ไปต่อ
เลือก‘คำถามประชามติ’ สมควรมีรธน.ใหม่หรือไม่
ครม.เคาะเลือกคำถามประชามติ “สมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่”
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
'ประชาคมแพทย์' ปลุกคนไทยรวมใจเป็นหนึ่งขอ 3 ข้อจากเพื่อนให้โลกรู้
เพจประชาคมแพทย์ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ

