ส่อง“2วงทวิภาคี-รั้วชายแดน” “มวยลีลา”ชกตรงเป้าหรือไม่?

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านจังหวัดสระแก้ว ยังไม่มีสัญญาณขอคืนพื้นที่แบบฉับพลันทันใด แต่ฝ่ายไทยแสดงออกถึง “ความพร้อมเมื่อสั่ง” ของหน่วยในพื้นที่  ด้วยการฝึกซ้อมของหน่วยปฏิบัติ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สารวัตรทหาร การลงพื้นที่ของผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆ รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหาร การรื้อทำลายสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งเรายึดครองมาได้ในช่วงสมรภูมิ 5 วัน    

แต่นั่นก็เป็นแค่ “น้ำจิ้ม-ชิมลาง” ท่ามกลางกระแสกดดันให้รัฐบาลและกองทัพจัดการให้จบไปเสียที เพราะ 4 ข้อที่ทางการไทยได้ยื่นคำขาดให้กัมพูชาดำเนินการคือ ถอยทหารและอาวุธหนัก การปราบปรามสแกมเมอร์ จัดระเบียบชายแดน และเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามกรอบข้อตกลงของ GBC นั้น ดูเหมือนจะไม่มีเสียงตอบรับ แต่กลับมีคำขู่ของ “สมเด็จฮุน เซน” ว่าจะจัดการกับแก๊งพนันออนไลน์นักการเมืองไทย ท่ามกลางเสียงโห่ฮาของคนไทย และเชียร์ให้กัมพูชาเร่งดำเนินการได้เลย

ฟันธงได้เลยว่า กัมพูชา ยังคงพูดไม่รู้เรื่อง การใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหา หรือใช้โลกล้อมให้ยอมความ ทางฝ่าย “กัมพูชา” ก็จะใช้วิธีเด้งเชือก  รับปากในเรื่องที่เป็นประเด็นปลีกย่อย และซื้อเวลาโยนให้คณะกรรมการระดับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาเหมือนเดิม ไม่ได้มีเจตนาแก้ไขปัญหาที่จริงจัง สะท้อนให้เห็นความไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหา

ฝ่ายไทยยังท่องคาถา-ยึดหลักการ เปิดยุทธวิธี “รวบตึง” กลไกทวิภาคี 2 เวทีคุยในวันเดียวกัน และจังหวัดเดียวกัน ปิดช่องการหลบเลี่ยงแก้ไขปัญหาของฝ่ายกัมพูชา โดยหวังว่าวิธีนี้จะทำให้กัมพูชาจำยอมถอย และปฏิบัติจริงใน 4 ข้อ ดังกล่าว

จึงน่าจับตามองว่าการประชุมคณะกรรมาธิเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่มีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพ และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC ซึ่งกระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าภาพ โดยฝ่ายไทยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ที่จังหวัดจันทบุรี โดยในส่วนของ GBC นั้น ฝ่ายเลขาฯ จะจัดประชุมก่อนในวันที่ 21-22 ตุลาคม 2568 สุดท้ายแล้วจะมีความคืบหน้าแค่ไหน

โดยการประชุม จีบีซี จะเป็นการเช็กความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาทั้ง 4 ข้อ ซึ่งท่าทีของกัมพูชาไม่ได้เต็มใจจะแก้ไขปัญหาเท่าไหร่นัก จะมีแต่เรื่อง “สแกมเมอร์” ที่ถูกนานาชาติกดดัน เนื่องจากมีพลเมืองของหลายชาติได้รับผลกระทบ และล่าสุดมีประชาชนของเกาหลีใต้เสียชีวิตจากแก๊งจีนเทาที่ล่อลวงไปทำงานผิดกฎหมายที่สีหนุวิลล์ ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต    

ส่วนประเด็นเรื่องเก็บกู้ทุ่นระเบิด มีจดหมายตอบปฏิเสธในระดับภูมิภาค สำหรับการจัดระเบียบชายแดน โดยเฉพาะหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว หรือแม้กระทั่งถอนอาวุธหนัก ก็โยนให้ที่ประชุม JBC ไปหาข้อยุติเรื่องเขตแดนก่อน

ซึ่งการประชุม JBC ประเด็นที่สำคัญคือ การลงนามการเดินหน้าใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า LiDAR เพื่อสำรวจสันปันน้ำพิสูจน์หลักเขตแดนตามที่กำหนดไว้ใน MOU 43 เพื่อทำแผนที่ร่วมกัน และอาจนำแนวทางการ “สร้างรั้วชายแดน” ในพื้นที่ซึ่ง 2 ฝ่ายยอมรับร่วมกันไว้เพื่อเห็นชอบ ซึ่งจะพบว่า จาก 74 หลักเขต เห็นตรงกัน 45 หลักเขต และมีความเห็นไม่ตรงกัน 29 หลักเขต

โดยตลอดแนวประมาณ 798 แบ่งเป็นสันปันน้ำ 524 กม. ล้ำน้ำ 216 กม. และเส้นตรง 58 กม. อยู่ในเขตความรับผิดชอบในการเฝ้าตรวจพื้นที่ของกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองกำลังจันทบุรี-ตราด

การ “สร้างรั้วชายแดน” เพื่อเป็นการตอกย้ำอาณาเขตไทย ป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำเข้ามาเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในหลายจุด เช่น หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ปราสาทคนา ปราสาทไบแบก ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นกระแสขณะนี้ ถูกจับตามองเหมือนกัน

แต่การจะเริ่มสร้างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากการป้องกันรุกล้ำเขตแดนแล้ว ความเหมาะสมทางด้านภูมิประเทศ และการดำเนินกลยุทธ์ทางด้านการทหารก็เป็นปัจจัยที่กองทัพต้องมาพิจารณา ทำให้แนวทางการสร้างรั้วในพื้นที่ติดคลองพรมโหด อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งเตรียมจะปักเสาเข็มหลังสร้างถนนทางยุทธวิธีเสร็จต้องระงับไปก่อน

ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ได้มอบหมายให้ “กองบัญชาการกองทัพไทย” ไปพิจารณา ซึ่งพบว่าที่ดำเนินการได้เลย เช่น บริเวณใกล้จุดผ่านแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ ซึ่งอาจจะเป็นการขยายแนวรั้วเดิม และพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ระหว่างหลักเขตที่ 52-58 อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี 

ปัจจุบันมีการจัดสรรงบกลางจากรัฐบาล และยังมีเงินบริจาคของ “กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ ให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนดำเนินโคงการ

ขณะที่ “กองทัพบก” จะดำเนินโครงการจัดสร้างและปรับปรุงสิ่งป้องกันภัย ได้แก่ การปรับปรุงที่มั่นกำบัง (บังเกอร์) ในฐานปฏิบัติการของหน่วยทหาร รวมทั้งสิ้น 799 แห่ง บางแห่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบกองกำลังสุรนารี 727 แห่ง และกองกำลังบูรพา 72 แห่ง รวมถึงการสร้างหลุมหลบภัยสำหรับประชาชนในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินรวม 173 แห่ง แบ่งเป็น กองกำลังสุรนารี 167แห่ง ขนาดความจุ 40-60 คน และกองกำลังบูรพา 6 แห่ง ขนาดความจุ 30 คน

โดยสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานพระวโรกาสให้ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย พลเอกอานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา พลตรีกิติศักดิ์ ถาวร ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 และพลตรีวินธัย สุวารี เลขานุการกองทัพบก เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับพระราชทานพระนโยบายเกี่ยวกับการเข้าสนับสนุนการดำเนินงานกองทุนดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยทรงมีพระกระแสรับสั่งให้กองทัพบกเข้าสนับสนุนการจัดสร้างหลุมบุคคล จำนวน 50 หลุม สำหรับใช้เป็นที่มั่นกำบังของกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ และสร้างหลุมหลบภัยสำหรับประชาชน จำนวน 8 แห่ง เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลอดภัยให้ประชาชน ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อเป็นการดูแลช่วยเหลือ ทั้งทหารและประชาชนอย่างเร่งด่วนสำหรับใช้เป็นต้นแบบในห้วงแรกนี้ก่อน

"กองทุนหทัยทิพย์จะเป็นผู้สนับสนุนเรื่องเงินในส่วนนี้ ซึ่งจะสนับสนุนหลายอย่าง โดยค่อยๆ ทำไป ขอให้ช่วยดูว่าเราจะสร้างกำแพงที่กั้นระหว่างเขมรกับไทย และจะไม่ใช่กั้นเดี๋ยวด๋าว แต่เป็นของที่ทำแล้วคงทนถาวร ซึ่งบังเกอร์เป็นเรื่องเร่งด่วน ทางกองทุนหทัยทิพย์นี้ก็อยากที่จะสนับสนุนด้วย ซึ่งเหล่านี้เป็นของที่เร่งด่วนจำเป็นสำหรับทหาร ซึ่งทางทหารสามารถเริ่มทำได้เลย อันนี้เป็นการช่วยทหาร และอยากได้อีกโครงการหนึ่งที่ช่วยประชาชน"  เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน ทรงมีพระกระแสรับสั่ง

และในวันที่ 16 ต.ค.นี้ พลเอกอุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะนำคณะซึ่งมีเจ้ากรมแผนที่ทหาร เจ้ากรมการกิจการชายแดน เข้าเฝ้าถวายกราบบังคมทูลฯ ข้อมูลและแนวทางการพิจารณาในเรื่องการสร้างรั้วชายแดนด้วย

จากการดำเนินการในเรื่องต่างๆ นั้น ทั้งรัฐบาลและกองทัพมีเป้าหมายให้สถานการณ์ชายแดนได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และยุติการใช้ความรุนแรง ด้วยวิธีการที่ยึดหลักกฎหมาย และกติการะหว่างประเทศ แต่หลายฝ่ายมองว่าวิธีดังกล่าวอาจใช้ไม่ได้ผล เพราะกัมพูชาไม่ได้มองโลกอารยะที่มีกรอบแห่งกฎหมายเป็นเส้นนำทางเหมือนกับไทย  ทำให้การเจรจาเป็นเพียงฉากละคร แต่เบื้องหลังคือการงัดกลเกม และเล่ห์เพทุบาย ที่กระทำกับไทยอย่างต่อเนื่อง

แต่เมื่อภาครัฐเลือกยึดเวทีการเจรจา และใช้สังคมโลกกดดันเพื่อจบปัญหา ก็ต้องรอดูว่าจะยุติปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จหรือไม่ แต่หากในที่สุดยังพายเรืออยู่ในอ่าง วนไปวนมาอย่างนี้ เหล่าบรรดา “ขาเชียร์-เอฟซี” ทั้งหลายคงไม่อยู่เฉย และคงกดดันให้ปิดจ๊อบโดยเร็ว ในขณะที่กองทัพก็คงหลีกเลี่ยงศึกในยก 2 ไม่ได้

เพราะหมดเวลาเต้นฟุตเวิร์กไล่ชกคู่ต่อสู้รอบเวทีเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป.  

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน