
“การแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่ต้องรักษาเสถียรภาพรัฐบาลให้ครบ 4 เดือนเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา ต้องร่วมมือหาจุดสมดุล ไม่เล่นเกมเอาชนะกันทางการเมือง เพราะหากยังขัดแย้งกัน หลุมพรางทางกฎหมายและการเมืองอาจทำให้กระบวนการทั้งหมดล้มเหลวอีกครั้ง”
การแก้รัฐธรรมนูญเพิ่งเริ่มต้น แต่ผลคะแนนกลับสะท้อนแรงสั่นสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาล เมื่อร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน ภายใต้การนำของ พริษฐ์ วัชรสินธุ ได้รับเสียงเห็นชอบจากรัฐสภาด้วยคะแนน 300 ต่อ 287 เสียง แซงหน้าร่างของพรรคภูมิใจไทยของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ตั้งใจใช้เป็นร่างหลัก และหวังรักษาดุลอำนาจทางการเมือง ทว่ากลับพ่ายในยกแรกอย่างเหนือความคาดหมาย
สาเหตุหลักมาจากการเทคะแนนของพรรคเพื่อไทย ที่เลือกหนุนร่างของพรรคประชาชนแทนร่างของพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้สมดุลอำนาจในสภาเปลี่ยนไปและถูกท้าทายทันที
การตัดสินใจครั้งนี้สร้างแรงกระเพื่อมทั้งในทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างพรรค โดยเฉพาะในหมู่วุฒิสภาสีน้ำเงิน ที่พยายามรักษาความร่วมมือกับรัฐบาล แต่กลับถูกมองว่าผิดจังหวะและประมาท เพราะไม่ได้ประเมินแรงสะท้อนจากฝ่ายตรงข้าม
บรรดาวุฒิสภาหลายคนถูกวิจารณ์ว่าใช้อารมณ์ความสะใจเหนือเหตุผล และมองเกมเพียงระยะสั้น เพราะหลังการลงมติ พรรคเพื่อไทยออกมาโจมตีอย่างหนัก โดยชี้ว่าร่างของตนเป็นร่างที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
แต่กลับถูก สว.โหวตคว่ำเพราะเสียงไม่ถึง 67 เสียง พร้อมตั้งคำถามว่า การโหวตของ สว.ครั้งนี้มี ดีลลับ เพื่อไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้เครดิตทางการเมืองในช่วงใกล้เลือกตั้งหรือไม่เกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม หากไม่มองในเชิงการเมืองเพียวๆ สว.สีน้ำเงินอาจเลือกโหวตรับทุกฉบับไปก่อน เพื่อให้แต่ละพรรคได้ต่อยอดในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ร่างภูมิใจไทยยังมีที่ยืน ไม่เสียหน้า เพราะ สว.ส่วนใหญ่กว่า 140-150 คน ยังคงอยู่ในเครือข่ายสีน้ำเงินและมีแนวโน้มหนุนรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้พ่ายในยกแรก แต่ก็ไม่ใช่จุดจบของเกม หากแต่เป็นสัญญาณเตือนว่าเสถียรภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ในสภาพง่อนแง่น และอาจล้มได้ทุกเมื่อหากเดินพลาด
หลังจากนี้ต้องจับตาเกมในชั้นกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นสมรภูมิชี้ชะตาว่าฝ่ายรัฐบาลจะรักษาฐานเสียงไว้ได้หรือไม่ เพราะถึงแม้พรรคประชาชนกับพรรคเพื่อไทยจะจับมือกันในยกแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างสุดท้ายจะผ่านได้ตามต้องการ การลงมติในกรรมาธิการชุด 43 คน จะเป็นเวทีต่อรองทางการเมืองที่เข้มข้นไม่แพ้การลงมติในสภา โดยเฉพาะการแย่งชิงตำแหน่งประธาน กมธ.ระหว่างสีส้มและน้ำเงิน ซึ่งเปรียบเหมือนกำหนดการชิงธงนำในกระบวนการยกร่าง
ตามโครงสร้างเบื้องต้น ฝ่ายที่ต้องการให้มีการแก้รัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนมีเพียง 21 คน ประกอบด้วย สว. 2 คน พรรคประชาชน 9 คน พรรคเพื่อไทย 9 คน พรรคประชาชาติ 1 คน
ส่วนฝ่ายที่ไม่เดือดร้อน จะให้แก้หรือไม่ก็ได้ มีถึง 22 คน ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย 4 คน พรรครวมไทยสร้างชาติ 2 คน พรรคกล้าธรรม 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน พรรคพลังประชารัฐ 1 คน พรรคชาติพัฒนา 1 คน และ สว.สายสีน้ำเงิน 10 คน
เมื่อดูตัวเลข หากพรรคร่วมรัฐบาลและ สว.สีน้ำเงินสามารถคุมเสียงส่วนเกินเพียงเล็กน้อย ก็ยังมีโอกาสพลิกเกมให้ร่างภูมิใจไทยกลับมาเป็นหลักได้
สำหรับโมเดลร่างของพรรคประชาชนที่รัฐสภารับหลักการ เน้นการมีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน เสนอให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน มาจากการเลือกตั้งเบื้องต้นของประชาชนทั่วประเทศ 70 คน แล้วให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน พร้อมตั้ง “สภาที่ปรึกษา” อีก 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เพื่อรับฟังความคิดเห็นและเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการ
แม้สภาที่ปรึกษาจะไม่มีอำนาจร่างโดยตรง แต่ก็เป็นกลไกที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีเสียงอย่างแท้จริง โดยมีข้อสังเกตและความเสี่ยงว่าจะขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะมีกระบวนการเลือกตั้งโดยตรงในเบื้องต้น รวมถึงยังเปิดกว้างให้สามารถแก้ไขได้ทั้งฉบับ ไม่ล็อกหมวด 1 และหมวด 2
ขณะที่ร่างของพรรคภูมิใจไทยเสนอแนวทางตรงข้าม โดยยึดหลักการเลือกตั้งทางอ้อม ไม่ผูกโยงกับประชาชนโดยตรง กำหนดให้มี ส.ส.ร. 99 คน มาจากการคัดเลือกของรัฐสภา แบ่งเป็น ส.ส.ร.จังหวัด 77 คน จากรายชื่อที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรอง และ ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 22 คน จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ หรือผู้มีประสบการณ์บริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งสะท้อนแนวคิดผู้เชี่ยวชาญนำมากกว่าการเมืองมวลชน แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ขั้นตอนสรรหาด้วยรัฐสภา อาจถูกมองใช้เสียงข้างมากบล็อกโหวตกินรวบ กลายเป็น ส.ส.ร.สายสีน้ำเงิน
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย มองว่าประเด็นสำคัญอย่างหมวด 1 และหมวด 2 ยังไม่ควรตัดสินตอนนี้ เพราะร่างสุดท้ายยังสามารถแก้ไขได้ในวาระ 3
พร้อมเสนอแนวทาง โมเดลฝรั่งเศส ที่ให้ผู้แทนท้องถิ่น เช่น นายกเทศมนตรี สท. หรือ อบต. เป็นผู้เลือก ส.ส.ร.ระดับจังหวัด แล้วให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 100 คน
ปรมาจารย์กฎหมาย ยังเสริมว่า วิธีนี้ถือว่าปลอดภัยทางกฎหมาย และไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ห้ามจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร.โดยตรงจากประชาชน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย นำเสนอในสภา
ฉะนั้นหากทุกฝ่ายยอมรับแนวทางประนีประนอมนี้ได้ กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญก็สามารถเดินหน้าไปพร้อมกับโรดแมปเลือกตั้ง เพราะการลงมติวาระ 3 จำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจาก สว.อย่างน้อยหนึ่งในสาม หรือ 67 เสียง หากไม่ถึงตามเกณฑ์ ร่างจะตกทันที
ในทางกลับกัน หากฝ่ายค้านไม่พอใจบ้าง ยังมีช่องทางสกัดร่างได้อีกหลายชั้น เช่น การงดโหวตในสัดส่วน 20% หรือการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหลังผ่านวาระ 3 ว่าร่างขัดต่อหลักการแก้ไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือไม่ ทั้งหมดนี้คือ กับดักทางกฎหมาย ที่อาจทำให้กระบวนการหยุดชะงักได้ทุกเมื่อ
ภายใต้ข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOA) รัฐบาลของ อนุทิน ถูกกำหนดให้ดำรงอยู่เพียง 4 เดือน เพื่อเร่งขับเคลื่อนประเด็นสำคัญและนำไปสู่การยุบสภาภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 หากทำได้ตามแผน จะเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่พร้อมประชามติวันที่ 29 มีนาคม 2569 แต่ระหว่างทาง ความเปราะบางทางการเมืองยังคงสูง โดยเฉพาะแรงกดดันจากฝ่ายค้านที่เริ่มมองหาโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านหลัก กำลังชั่งใจว่าจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหลังเปิดสมัยประชุมสภาหน้า วันที่ 12 ธันวาคมหรือไม่ เพราะต้องประเมินความพร้อมภายใน ทั้งเรื่องแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ยังไม่ลงตัว และการไหลออกของ สส.เขตไปสังกัดพรรคอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องชั่งน้ำหนักว่า หากปล่อยให้รัฐบาลอยู่ครบ 4 เดือน ต้องประเมินว่าฝ่ายใดกระแสความนิยมตกต่ำกว่ากัน
ในอีกด้านหนึ่ง หากฝ่ายค้านตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ อาจทิ้งไพ่ลับ ยุบสภา ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นนายกฯ คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ พ้นตำแหน่งด้วยการถูกซักฟอก เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
อีกทั้งข้อดี ยังเปิดทางให้พรรคภูมิใจไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งด้วยความพร้อมสูงสุด เนื่องจากช่วงเวลานี้พรรคภูมิใจไทยถือว่ามีความได้เปรียบด้านโครงสร้างทางการเมืองและอำนาจรัฐ หลังทำการโยกย้ายข้าราชการล็อตใหญ่ ยังได้เสริมทัพด้วย สส.บ้านใหญ่หลายจังหวัด ทั้งภาคใต้ อีสาน เหนือ รวมถึงเร่งออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี อาทิ นโยบายคนละครึ่งพลัส ลดค่าครองชีพ เพื่อดึงคะแนนเสียงจากชาวบ้าน เพื่อสานต่อการทำงานอีก 4 ปีมาล่วงหน้าแล้ว
การแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ ไม่ใช่แค่ต้องรักษาเสถียรภาพรัฐบาลให้ครบ 4 เดือนเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภา ต้องร่วมมือหาจุดสมดุล ไม่เล่นเกมเอาชนะกันทางการเมือง เพราะหากยังขัดแย้งกัน หลุมพรางทางกฎหมายและการเมืองอาจทำให้กระบวนการทั้งหมดล้มเหลวอีกครั้ง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ส้มขีดเส้นโหวตก่อนปีใหม่!
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ
"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
สส.ปชน. เรียกร้องรัฐบาลเยียวยาน้ำท่วมภาคกลางให้มีมาตรฐานเดียวกับภาคใต้
"เต้ ทวิวงศ์" จี้รัฐบาลอย่า 2 มาตรฐาน ช่วยน้ำท่วมใต้แล้ว หันมาช่วยน้ำท่วมภาคกลางด้วย บอก "ภราดร" ลองกลับมาถามคนอ่างทอง หากรอการเยียวยาเป็นลำดับถัดไปไหวหรือไม่ เหตุอยุธยาจมน้ำมา 4-5 เดือนแล้ว คนเสียชีวิตไปกว่า 20 ราย ชี้ ชาวบ้านต้องทำมาหากิน ควรมีมาตรการชดเชย-ช่วยเหลือเต็มรูปแบบเหมือนกัน
บก.ลายจุด อวยว่าที่นายกฯ ฝึกงานล้างบ้าน เก็บขยะ มีพัฒนาการที่ดี ลงท้ายแขวะ 'อภิสิทธิ์'
นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด โพสต์ภาพนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กำลังล้างบ้านน้ำท่วมที่หาดใหญ่ พร้อมข้อความระบุว่า ใครทนอ่านเรื่องส้มไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569


