เอกสาร 2 ฝ่ายที่นายกฯ ของไทย อนุทิน ชาญวีรกูล และนายกฯ กัมพูชา พล.อ.ฮุน มาเนต ลงนาม โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นพยานนั้น คือ Joint Declaration หรือคำแถลง ซึ่งเป็นเพียงการประกาศจุดยืนเพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจลดความตึงเครียดของสถานการณ์ โดยมีมติการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือจีบีซี รวมไปถึงคณะกรรมาธิการชายแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี วางกรอบล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว ได้แก่
-การถอนอาวุธ จัดทำเป็น Action Plan กำหนดกรอบเวลา 6 สัปดาห์ ประมาณ 1 เดือนครึ่ง แบ่งเป็น 3 เฟส โดยเฟสแรกคือ วันที่ 26 ต.ค. เฟสที่ 2 เริ่มภายใน 3 สัปดาห์ และเฟสที่ 3 คือสัปดาห์ที่ 6
-การปราบปรามสแกมเมอร์ จัดทำเป็น Action Plan เช่นกัน โดยให้ตำรวจ 2 ฝ่ายตั้งทีมในการดำเนินการ
-การเก็บกู้ทุ่นระเบิด มาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ Standard Operating Procedure - SOP กรอบระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน ในส่วนของบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 17 ธ.ค.68 รวมถึงพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ด้วย โดยเก็บกู้ในพื้นที่ของตนเอง
-การจัดตั้งผู้สังเกตการณ์ ผู้สังเกตการณ์อาเซียน ASEAN Observer Team -AOT ติดตามการถอนอาวุธ เก็บกู้วัตถุระเบิด โดยคาดว่าจะทำงานในช่วงระยะเวลา 3 เดือน และสามารถต่ออายุได้
โดยมีรายงานว่า ก่อนหน้านั้นกัมพูชาต้องการให้ AOT ทำงานยาวถึง 6 เดือน แต่ไทยต้องการให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะเวลา 2 เดือน หากการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการยังไม่แล้วเสร็จ ให้ต่อเวลาครั้งละ1 เดือน รอการเปลี่ยนธงประธานอาเซียนในต้นปีหน้า
-การจัดระเบียบชายแดน “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” หารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคำแนะนำทางเทคนิค (Technical Instruction : TI) ในการการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในบริเวณหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47
โดย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม คาดหมายว่าในห้วงเวลา 3 เดือน สามารถเห็นผลได้ใน 3 เรื่อง ทั้งถอนอาวุธหนัก เก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน และการจัดระเบียบชายแดน พร้อมเสนอนายกฯ อนุทิน ให้ตั้งคณะทำงาน โดยมี พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน และมีหน่วยงานกระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยร่วมขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพื่อลดความกังวลใจของประชาชนที่ติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนดูตั้งแต่วันลงนามคำแถลงร่วม 2 ฝ่าย เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ทางกัมพูชาก็ตีข่าวและภาพการถอนอาวุธเชิงสัญลักษณ์เป็นรถถัง T-55 และรถรบจำนวนหนึ่งออกจากพื้นที่ชายแดนจังหวัดพระวิหาร ซึ่งภายหลังพบว่ามีการถอนรถถังออกไป 2 คัน ภายใต้การสังเกตการณ์ของ AOT ของฝ่ายกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยได้ทำการถอนรถถัง M-60A3 ออกจากชายแดน จ.สุรินทร์ กลับที่ตั้งที่ค่ายอดิศร โดยมี AOT เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย แต่ยังไม่มีการถอนอาวุธกลับเข้าที่ตั้งหน่วยตาม Action plan เพราะทางกองทัพภาคที่ 2 และกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของไทยกำลังหารืออยู่
ปฏิกิริยาสนองตอบต่อ “คำแถลงร่วม” อย่างทันควันของกัมพูชา เหมือนเป็นการแสดงให้โลกได้เห็นด้านบวกที่ต้องการสนองตอบคำแถลง ด้วยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา!!
แต่นั่นยังไม่ใช่การบ่งชี้ถึงความจริงใจในการถอนอาวุธออกจากที่ตั้งยิงตลอดแนวที่เคลื่อนย้ายเข้ามาไว้ตั้งแต่เดือน มี.ค.และ เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งปืนใหญ่ 130 มม. ระบบจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่มีเป็นร้อยคัน แม้เราจะทำลายคลังจรวดไปแล้วบ้าง แต่ก็ยังมีพอที่เป็นภัยคุกคามกับเราอยู่ รวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 วิถีการยิงไกลถึง 130 กม. และรถถังจีนอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งปกติยุทโธปกรณ์เหล่านี้ก็มีการเคลื่อนที่ไปมาเพื่อเปลี่ยนพิกัดอยู่แล้ว
โดยยุทโธปกรณ์ทั้งหมดกระจายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะตรงข้ามช่องอานม้า จ. อุบลราชธานี และฝั่งจังหวัดพระวิหาร ที่คุมเชิงในพื้นที่ด้านภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ขณะที่ไทยนั้นมีแผนที่เตรียมการไว้อยู่แล้ว ในการเคลื่อนย้ายจะกลับเข้าสู่ที่ตั้งหน่วยปกติ ทั้งสุรินทร์ ลพบุรี ชลบุรี สระบุรี บุรีรัมย์ แต่ต้องดำเนินการเมื่อกัมพูชาได้ดำเนินการก่อนเท่านั้น และทำตามสัดส่วนอย่างสมดุล
แต่หากเกิดการสร้างสถานการณ์ หรือไม่เป็นไปตามข้อตกลง การเคลื่อนย้ายอาวุธเข้าพื้นที่ในปัจจุบันมีความสะดวกมากขึ้น เพราะหลายเดือนที่ผ่านมามีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางส่งกำลังบำรุง ทำให้การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่การรบใช้เวลาไม่นาน
หรือแม้กระทั่งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่วางใหม่ในช่วงเริ่มเกิดปัญหาที่แนวต้นพญาสัตบรรณ เลยมาถึงการสู้รบ 5 วัน ที่บริเวณเนิน 350 ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาเอง เนื่องจากพิกัดที่วาง และผู้ที่วางทุ่นก็ไม่อาจชี้จุดที่วางไว้ได้ การจะดำเนินการจึงมีความสุ่มเสี่ยงในการเก็บกู้ของฝั่งกัมพูชาเอง จึงต้องพยายามยื้อเวลา
เมื่อหันมาดูท่าทีของกองทัพฝ่ายไทยชัดเจนว่า “ไม่ไว้วางใจ” ในเล่ห์เพทุบายของกัมพูชา จนกว่าจะแสดงให้เห็นการดำเนินการตามข้อตกลงอย่างแท้จริง จึงยังไม่มีการผ่อนคลายหรือปรับลดกำลังใดๆ ในขณะนี้
“ขอให้ทบทวนนโยบายที่ได้รับ และสานต่อภารกิจต่างๆ ด้วยความต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศอย่างรอบด้าน ขอให้หน่วยเฝ้าติดตามประเด็นต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมกำลังให้มีความพร้อมอยู่เสมอ ตามแนวทางที่กองทัพบกได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ” พล.อ.พนา แคล้วปลอด ทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เน้นย้ำในที่ประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษ ปีงบประมาณ 2569
โดยที่ประชุมมีทั้งผู้บัญชาการกองพล ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเก่าและใหม่ กรมฝ่ายเสนาธิการ เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง ที่กองทัพบก เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่กองทัพเรือ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ก็ได้เน้นย้ำในเรื่องการดำรงเตรียมความพร้อม และยังได้ประเมินสถานการณ์หลังการลงนามคำแถลงไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซียด้วย
“กองทัพเรือเห็นว่าสาเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศยังคงดำรงอยู่ ทั้งในประเด็นการปักปันเขตแดน ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ในระยะเวลาอันใกล้ การคงอยู่ของทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนที่ยังมีศักยภาพในการสร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของทั้งทหารและพลเรือน การรุกล้ำอธิปไตย และการให้ข่าวบิดเบือนเพื่อสร้างทัศนคติในเชิงลบต่อประเทศไทย
ดังนั้นกองทัพเรือจึงจำเป็นต้องดำรงความพร้อมในการใช้กำลังเพื่อการป้องปรามและป้องกันประเทศ จากการยั่วยุหรือการสร้างสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ กองทัพเรือจะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการรักษาอธิปไตยทั้งทางบกและทางทะเลอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสาเหตุแห่งความขัดแย้งทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข และ สันติภาพอันยั่งยืนระหว่างทั้ง 2 ประเทศจะบังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง” พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ระบุ
นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องแยกบทกันเล่น ในการตีกรอบให้กัมพูชาเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ต้นตออย่างตรงไปตรงมาด้วยกลไกทวิภาคี กฎหมาย และกติกาที่นานาชาติยอมรับ เลิกใช้กลอุบาย เพื่อหวังผลประโยชน์ในเรื่องเขตแดนหรือเรื่องอื่นๆ อย่างที่เคยเป็นมา โดยที่กองทัพของไทยก็ต้องยืนยันการทำหน้าที่รักษาอธิปไตยไปจนกว่ากัมพูชาต้อง “หยุดการเป็นปรปักษ์” กับไทยอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากในการคาดหวังกับกัมพูชา ซึ่งมีคนแค่ตระกูลเดียวคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ!!!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ทหารผ่านศึก' รวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน 'รมว.กห.' ย้ำเงื่อนไขหยุดยิง
ทหารผ่านศึกรวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน ด้าน 'บิ๊กเล็ก' ส่งรองเสธ.ทหาร ร่วมถก รมว.กต.อาเซียน ย้ำไทยหยุดยิงหากกัมพูชาสิ้นปฏิปักษ์ชัดเจนเปิดเผยต่อเนื่อง เคืองนานาชาติไม่ประณามปมวางทุ่นระเบิด
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
เขมรสบายใจได้! บิ๊กเล็กยันไม่มีไล่ยิงถึงพนมเปญแค่สิ้นสุดการเป็นปรปักษ์เท่านั้น
รมว.กลาโหม พุ่งเป้า 'เรือไทย' ใช่ช่องโหว่ขนน้ำมัน สวมรอย 'ประเทศที่ 3 - ใช้น่านน้ำสากล' ลั่น 'กัมพูชา' ต้องสิ้นการเป็น 'ปฏิปักษ์' ชัดเจน ยัน 'ไทย' ไม่มีไล่ยิงถึงพนมเปญ
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ
โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!
หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน
ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม

