วัดกันไปเลยว่า ใครปากกล้าขาสั่น! ระหว่างพรรคภูมิใจไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล กับพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน
สืบเนื่องมาจากกรณีพรรคเพื่อไทยพยายามเคลื่อนไหว หยิบเอาประเด็นสแกมเมอร์ ทุนสีเทา และอื่นๆ ขึ้นมาขยี้ พร้อมตีฆ้องร้องป่าวว่า จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย แบบรายวัน
พรรคเพื่อไทยแสดงตนว่า มีการเก็บข้อมูลต่างๆ แต่เปิดเกมการเมืองใส่พรรคประชาชน ที่ตัวเองมองว่าเป็น ‘พรรคฝ่ายค้ำ’ ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านว่า จะเอาด้วยหรือไม่
เกมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ‘พรรคสีแดง’ เที่ยวนี้ มุ่งหวังผลทางการเมือง โดยมีเป้าอยู่ที่ 2 พรรค คือ ‘พรรคสีน้ำเงิน’ และ ‘พรรคสีส้ม’
เพราะตามรัฐธรรมนูญ กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องใช้เสียง สส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวน สส.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา ซึ่งในปัจจุบันคิดเป็น 99 เสียง จากจำนวน สส. 494 คน
แม้ปัจจุบัน สส.หลายคนของพรรคเพื่อไทยจะไหลไปอยู่กับพรรคอื่น แต่จำนวน สส.ที่ยังอยู่กับพรรค ยังเกิน 99 เสียง สามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้
แต่ที่พรรคเพื่อไทยเงื้อง่าราคาแพง พยายามโยนให้ไปสอบถามพรรคประชาชน เพราะมีเป้าประสงค์คือ การเอาคืน แก้แค้น ที่ไปเลือกโหวตให้ ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ จนพรรคสีแดงต้องมาตกทุกข์ได้ยากในฐานะฝ่ายค้าน
หากพรรคประชาชนในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านไม่เล่นด้วย จะเหมือนกับยอมรับว่า ตัวเองเล่นบทฝ่ายค้านแบบหลับตาข้างหนึ่ง หรือ ‘ฝ่ายค้ำ’ อย่างที่พรรคเพื่อไทยพยายามปั้นวาทกรรม
นั่นเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยพยายามจะปั่น!
ขณะที่พรรคประชาชน โดนข้อหา ‘พรรคฝ่ายค้ำ’ หนักหน่วงในช่วงแรกของรัฐบาลนายอนุทิน ถูกโจมตีว่า ชกรัฐบาลไม่เต็มหมัด ตรวจสอบไม่เข้มข้นเหมือนตอนพรรคเพื่อไทย
ที่ผ่านมาพรรคประชาชนพยายามชิ่ง หรือหลีกเลี่ยงให้ความชัดเจนในเรื่องการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ บางครั้งยกเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ใน MOA ซึ่งทำไว้กับพรรคภูมิใจไทยมาเป็นเหตุผล
อ่านใจ ‘พรรคสีส้ม’ ไม่อยากยื่นญัตติซักฟอก เพราะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเดินอยู่ กอปรกับเหลืออีกไม่กี่เดือนจะยุบสภาตามไทม์ไลน์อยู่แล้ว ที่สำคัญ รู้ว่า ‘พรรคสีแดง’ หวังยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว
‘นกตัวแรก’ หากปล่อยให้มีการเปิดซักฟอก โดยพรรคประชาชนร่วมลงชื่อด้วย จะพาตัวไปสู่จุดลำบาก เพราะเมื่อถึงเวลาโหวต ‘พรรคสีส้ม’ จะโหวตอย่างไร
หากไม่ไว้วางใจ เมื่อรวมคะแนนกับ ‘พรรคสีแดง’ ที่โหวตไม่ไว้วางใจแน่ๆ เสียงจะเกินกึ่งหนึ่งของสภา รัฐบาลไปแน่นอน เพราะเป็นเสียงข้างน้อย
แต่หากโหวตไว้วางใจ ก็จะย้อนแย้งมาก เพราะเป็นฝ่ายค้าน เป็นผู้ยื่นญัตติอภิปราย จะเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนและปาหี่ทางการเมือง
เรียกว่า ถ้าเปิดโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ส่วน ‘นกตัวที่สอง’ คือ พรรคภูมิใจไทย ที่พรรคเพื่อไทยอยากล้างแค้น
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น มันต้องวัดใจพรรคเพื่อไทยก่อนว่า ‘กล้า’ หรือไม่ เพราะหลังจากพรรคสีแดงพยายามปั่นกระแส ล่าสุด ‘อนุทิน’ ปั่นกลับเหมือนกัน หลังถูกถามถึงข่าวลือยุบสภาก่อนไทม์ไลน์ 31 มกราคม 2569 โดยไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว
“ต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะอภิปรายโดยวัตถุประสงค์อะไร เราต้องดูไทม์ไลน์กว่าจะยื่นอภิปรายได้สภาฯ เปิดสมัยประชุมเดือน ธ.ค. ตั้งใจยุบสภาฯ วันที่ 31 ม.ค.อยู่แล้ว คนคงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลเล่นๆ ฟรีๆ หากเป็นเกมการเมือง รัฐบาลสู้เกมการเมืองไม่ได้ก็ยุบสภาไปห่างแค่เดือนเดียว คงไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอะไร”
ถอดรหัส ‘อนุทิน’ ง่ายๆ คือ ถ้าพรรคเพื่อไทยทำท่าจะยื่นแน่ๆ พรรคภูมิใจไทยชิงกดปุ่มยุบสภาก่อนแน่ เพราะรู้ว่าอีกฝั่งตั้งใจเล่นเกมการเมือง
โดยตามรัฐธรรมนูญถ้าฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วจะยุบสภาไม่ได้ แต่หากยังไม่ยื่น นายกฯ ยุบสภาได้ตลอด ซึ่งพรรคภูมิใจไทยไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแน่
เมื่อ ‘อนุทิน’ ส่งสัญญาณดังๆ ให้ได้ยิน ว่ากล้ายุบสภาเสมอ จึงอยู่ที่พรรคเพื่อไทยว่า กล้าจะยื่นหรือไม่ เพราะวันนี้ถ้าเทียบความพร้อมในสนามเลือกตั้ง ต้องยอมรับว่า พรรคสีน้ำเงินพร้อมกว่าและเตรียมตัวมานานกว่า
พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในช่วงตั้งหลัก เพิ่งได้ตัวหัวหน้าพรรคอย่างนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ แถมเลือดยังไหลอยู่เป็นระยะๆ ตัวแคนดิเดตนายกฯ ยังไม่ชัดว่า ใช้บริการใครบ้าง คะแนนนิยมอยู่ในช่วงขาลงต่อเนื่องตั้งแต่เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ตรงกันข้ามกับพรรคภูมิใจไทย ที่นอกจากมี สส.และบิ๊กเนมไหลมาเรื่อยๆ ยังอยู่ในอำนาจและกลไกรัฐอยู่
งานนี้พิสูจน์กันไปเลยว่า พรรคเพื่อไทยต้องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะหวังตรวจสอบ หรือแค่ตีเกราะเคาะไม้หวังผลทางการเมือง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


