มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดสงขลา ส่งผลให้เมืองเศรษฐกิจอย่าง “หาดใหญ่” จมบาดาล ก่อนที่รัฐบาล “นายกฯ หนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย จะตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา และแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2569
ขณะเดียวกันได้ประกาศยกระดับการจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 โดยกำหนด "พื้นที่จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง" เร่งบูรณาการทุกกลไกช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และมีบัญชาจัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการ และรับผิดชอบ บังคับบัญชา อำนวยการ วินิจฉัย สั่งการ ควบคุม และประสานความร่วมมือในพื้นที่ประสบภัย
ซึ่งจะประกอบกำลังร่วมกับหน่วยงานตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564-2570 เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) อย่างเต็มรูปแบบ (Full Activated)
รวมถึงตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย” หรือ ศป.กฉ. ขึ้นที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อรวบรวม รับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนในพื้นที่ ผ่านหมายเลข 1784 และ 1111 รวมถึงเพจข่าวสารต่างๆ นำมาคัดกรองช่วยเหลือ
แบ่งเป็นเคสสีแดง ซึ่งต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วน ผู้ที่อยู่ในที่อันตรายขั้นรุนแรงและวิกฤต เคสสีเหลืองสำหรับผู้ที่ติดอาศัยอยู่ในบ้านเรือน 2 ชั้น แต่ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม และทรัพยากร โดยจะประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าที่มี ผบ.ทสส.เป็นผู้บัญชาการหน้างานดำเนินงานช่วยเหลือต่อไป
แม้รัฐบาลจะระดมกำลังช่วยเหลือ ผสานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และกองทัพลงไปในพื้นที่ แต่ดูเหมือนจะล่าช้าเกินไปจนถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงการบริหารสถานการณ์ที่ล้มเหลว ถึงนายกฯ อนุทิน จะลงไปในพื้นที่หาดใหญ่เพื่อติดตามและบัญชาการสถานการณ์ด้วยตัวเองที่หน้างาน 3 ครั้ง แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าไปควงตะหลิวผัดข้าว เน้นภาพ
การตั้งศูนย์ประสานงานส่วนกลางก็ล่าช้า ทำให้การประสานข้อมูลต่างๆ ในช่วงแรกเกิดความสับสน ประชาชนและเจ้าหน้าที่หน้างานไม่มีตัวกลางในการประสานข้อมูล เพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้ทันท่วงที ตั้งแต่น้ำท่วมวันแรกเสียงสะท้อนจากประชาชนส่วนใหญ่มีจิตอาสาเป็นที่พึ่งแทนรัฐบาล อีกทั้งอาหารและน้ำดื่มยังเข้าไม่ถึง
รวมถึงปัญหาเรื่องการแจ้งเตือนตั้งแต่แรกที่อาจไม่เข้มข้นพอและล่าช้าเกินไป ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัว และอพยพออกจากพื้นที่ไม่ทันจนติดค้าง เกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิต ที่หลายคนใช้คำว่าหมดตัว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลนายอนุทินอย่างมาก รัฐบาลถูกมองไม่มีความพร้อม ไม่มีแผนรับมือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จนพรรคที่ร่วมลงบันทึก MOA ส่งนายอนุทินมาเป็นนายกฯ เฉพาะกิจ 4 เดือน อย่างพรรคประชาชน (ปชน.) ยังออกมากระทุ้ง 4 ข้อรัฐบาลต้องเร่งแก้สถานการณ์ด่วน 1.ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานให้ได้รูปธรรม ที่สำคัญที่สุดคือการจัดการเรื่องระบบฐานข้อมูลกลาง 2.เป้าหมายในวันนี้คือต้องมีการอพยพคนออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุด โดยจะต้องมีการวางแผนและระดมทรัพยากร ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
3.แม้จะอพยพได้รวดเร็วมากที่สุด แต่อาจจะไม่สามารถอพยพทุกคนได้ในวันนี้ ฉะนั้นหากคนและเรือเข้าไม่ถึง ต้องระดมทั้งเฮลิคอปเตอร์และโดรนให้ได้มากที่สุดเพื่อส่งน้ำและอาหารให้ถึงมือคนที่ประสบภัย และ 4.คิดว่าปัญหานี้ใหญ่มาก รัฐบาลต้องระดมทรัพยากรจากต่างประเทศทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการเอาทรัพยากรและอุปกรณ์เข้ามาช่วยเหลือคนในพื้นที่ อาจจะเริ่มต้นที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์
ส่วนหลังน้ำลดแล้วขั้นต่อไปที่รัฐบาลต้องพร้อมคือ การเทเงินเยียวยาลงไปให้เร็วที่สุดทุกครัวเรือนที่ประสบภัย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมงบประมาณไว้แล้ว และล่าสุด 26 พฤศจิกายน นายอนุทินได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 11/2568 เรื่อง มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยเพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยมอบให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีดูเรื่องเยียวยารายจังหวัด
อาทิ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและปัตตานี นายโสภณ ชารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดยะลา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสงขลา เป็นต้น จากวิกฤตครั้งนี้ ทำผู้นำรัฐบาลอย่าง “นายกฯ หนู” เจ็บตัวไม่เบา ทั้งถูกด่าบริหารสถานการณ์ล่าช้า ล้มเหลวจัดการภัยพิบัติ จนล่าสุดนายอนุทินตัดสินใจยกเลิกทุกภารกิจและทุ่มเวลาทั้งหมดลงไปนั่งบัญชาการที่หาดใหญ่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายถึงจะกลับกรุงเทพฯ แต่จะเป็นที่พอใจของประชาชนหรือไม่ต้องดูที่ผลลัพธ์ของสถานการณ์
งานนี้ก็ใกล้ช่วงเวลายุบสภาเข้ามาทุกที หากยังเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนไม่ได้ รับรองว่าสนามเลือกตั้งที่จะถึงนี้ คะแนน “นายกฯ หนู” ลดฮวบแน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
‘อนุทิน’ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง 1 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔๕/๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


