‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

เพราะการมัดตัวเองตั้งแต่ยังไม่เห็นผลการเลือกตั้ง เท่ากับเป็นการสร้างข้อจำกัดให้กับตัวเองในทางการเมือง

แน่นอนการประกาศของหัวหน้าพรรคประชาชน อาจถูกมองว่า ต้องการปลุกคะแนนนิยมของพรรคให้กลับมาอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้ถูกค่อนแคะอย่างหนักว่า เป็น ‘ฝ่ายค้ำ’ หลังเลือกโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวในทางการเมือง ไม่ต่างอะไรจาก ‘ตราบาป’ ที่ติดตัวจนถึงตอนนี้

การชิงประกาศตัดขาด ‘พรรคสีน้ำเงิน’ ตั้งแต่หัววันของ ‘เท้ง’ ไม่ต่างอะไรจากการขอโอกาสและการสร้างความไว้วางใจอีกครั้งหนึ่ง

เป็นการหาจุดเปลี่ยน จุดพลิก จากการเพลี่ยงพล้ำของตัวเอง โดยหวังให้มันได้ผลเหมือนเมื่อครั้งประกาศ ‘มีเรา ไม่มีลุง’ จนคนเทคะแนนให้

แต่ครั้งนี้ไม่มีลุง และลุงที่เหลืออย่าง ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่เป้าโจมตีที่ดึงคะแนนได้แล้ว

เมื่อไม่มีลุง ก่อนหน้านี้พรรคประชาชนจึงพยายามหา ‘แคมเปญ’ ให้ตัวเองในการเลือกตั้ง โดยหยิบเอาประเด็นสแกมเมอร์มาชู นั่นคือ ‘มีเรา ไม่มีเทา’ แต่ต้องยอมรับว่า มันปังแค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น

เช่นเดียวกับท่าทีของ ‘เท้ง’ ที่ประกาศไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทยเที่ยวล่าสุด ซึ่งยังไม่ใช่แคมเปญที่ดึงดูดขนาดนั้น

 ส่วนหนึ่งเพราะสถานการณ์ของ ‘พรรคประชาชน’ ในวันนี้ กับ ‘พรรคก้าวไกล’ ในวันนั้น มันแตกต่างกัน

เริ่มจากการไม่มีลุง ให้ประชาชนต้องตัดสินใจเลือกฝั่ง หรือการไม่มี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ใครต่อใครมองว่า มี "ออร่า" มากกว่า ‘ณัฐพงษ์’

พรรคประชาชนมีบาดแผล จากการโหวตให้ ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ ซึ่งแฟนคลับพรรคสีส้มหลายรายรับไม่ได้ และยังไม่หายโกรธเกรี้ยว

ที่สำคัญคือ เรื่องเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งพรรคประชาชนถูกมองว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามกับกองทัพมาโดยตลอด มีการหยิบท่าที คำพูด และการแสดงความเห็น ทั้งปัจจุบันและในอดีตของคนในพรรคขึ้นมาโจมตี เพื่อให้เห็นว่า ไม่สามารถไว้วางใจให้ดูแลเรื่องนี้ได้

สภาพพรรคประชาชน วันนี้ไม่พร้อมเหมือนวันนั้น 

ซึ่งการตัดสินใจของ ‘ณัฐพงษ์’ ในวันนี้ จึงเสี่ยงที่จะได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ คะแนนไม่ได้ถล่มทลาย มันเท่ากับเป็นการหาเรื่องไปสร้าง ‘ข้อจำกัด’ ให้ตัวเอง มันจะเหลือแค่ไม่กี่พรรคที่สามารถทำงานร่วมกันได้

หากเป้าประสงค์ของพรรคประชาชนคือ การเป็นรัฐบาล การรีบผลักทุกพรรคให้เป็นศัตรูหรืออยู่ตรงข้าม มันไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ดีในครั้งนี้ เพราะกระแสแต่ละพรรคไม่ได้ทิ้งห่างกันมากเหมือนครั้งก่อน โอกาสที่จะเกิดแลนด์สไลด์ในยุคนี้ค่อนข้างยาก มันต้องมี ‘จุดเปลี่ยน’ ใหญ่ๆ เกิดขึ้นทางการเมืองจริงๆ เท่านั้น

และหากคิดว่า การผลัก ‘สีน้ำเงิน’ ออกไป แล้วยังเหลือพรรคเพื่อไทยในการจับมือ วันนี้ต้องถามกลับว่า แล้ว ‘สีแดง’ จะกล้าจับกับ ‘สีส้ม’ หรือไม่

พรรคสีแดง ไม่ได้อยู่ในจุดที่แข็งแกร่งในทางการเมือง ตรงกันข้ามอยู่ในสภาวะอ่อนแอ การที่ ‘สีแดง’ จับกับ ‘สีส้ม’ หลายคนอาจมองว่า เป็นการไป ‘ตายหมู่’

นักการเมืองที่มีประสบการณ์จะรู้ว่า การรีบประกาศ ‘เอา’ หรือ ‘ไม่เอา’ ใคร เป็นการ ผูกมัดตัวเอง ให้เดินยาก จะเห็นว่า ขนาดพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยจบกันไม่สวย แต่จนถึงวันนี้ทั้งคู่ยังไม่มีใครพูดว่า จะไม่จับมือกันหลังการเลือกตั้ง

นั่นเพราะ ‘คำพูดเป็นนาย’ หากวันนี้ประกาศไม่เอา แต่ภายหลังการเลือกตั้งหันไปจับมือกัน ในทางการเมืองจะเสียหายกว่า จะกลายเป็นพวกกลืนน้ำลายตัวเอง ไม่มีจุดยืนทางการเมือง และหักหลังประชาชนที่ลงคะแนนให้

การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ยิ่งในวันที่คะแนนขี่กันไม่ห่าง หากไม่คิดจะผูกมิตรก็ไม่ควรจะเพิ่มศัตรู เพราะตราบใดที่ยังไม่มีหน้าตักแต่ละคน ไม่มีใครคาดเดาสถานการณ์วันข้างหน้าได้

การประกาศไปแบบนั้นของ ‘ณัฐพงษ์’ จึงอาจจะทำให้ถูกมองว่า เป็นอนุบาลทางการเมืองอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้ถูกมองว่า เสียท่า เสียเหลี่ยม ไม่ทันเกมรุ่นเก๋า หลังไปโหวตให้ ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ

ขนาดคนในพรรคประชาชนยังมองออกว่า การไปพูดผูกมัดแบบนั้นมันไม่เวิร์ก ดังจะเห็นว่า นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน รีบออกมาปฏิเสธว่า นายณัฐพงษ์ไม่ได้สื่อแบบนั้น

 “ไม่ นายณัฐพงษ์มองความเป็นไปได้ คงไม่ได้หมายความว่า ปิดทาง 100% แต่เป็นสิ่งที่ชี้ว่าเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล” 

แกนนำในพรรคประชาชนมองออก และรู้สถานการณ์พรรคดีว่า วันนี้มันยากที่จะกลับไปเปรี้ยงปร้างเหมือนครั้งก่อน.!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’

นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ