ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

หนึ่งในพรรคที่ถูกจับตาอย่างมากคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. ซึ่งพลิกสถานะจากฝ่ายค้าน กลับมาเป็นรัฐบาลได้เพียงกว่า 2 เดือนกว่า หรือ 73 วัน

 แต่กลับมีพลังทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางภาวะถดถอยและความปั่นป่วนภายในพรรคเพื่อไทย ทำให้ “พรรคสีน้ำเงิน” กลายเป็นศูนย์รวมของ สส.บ้านใหญ่ และกลุ่มการเมืองท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยเข้าสังกัด

ปัจจัยเสริมสำคัญคืออำนาจรัฐที่อยู่ในมือ ทั้งกลไกฝ่ายปกครอง การโยกย้ายข้าราชการระดับพื้นที่ ตลอดจนแรงสนับสนุนจาก สว.สีน้ำเงิน และสัญญาณจากองค์กรอิสระที่ถูกมองว่าเอียงไปทางขั้วอนุรักษนิยมใหม่

 ขณะเดียวกัน กระแส ชาตินิยม จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังช่วยหนุนภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ นายกฯ อนุทิน หลังแสดงท่าทีสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพในการปกป้องอธิปไตย ซึ่งสอดรับกับอารมณ์สังคมในช่วงเวลานั้น

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภูมิใจไทยถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือการเปิดตัวนโยบาย “พูดแล้วทำพลัส” ควบคู่กับการชูทีมรัฐมนตรีคนนอก 3 คน เป็นโครงสร้างรัฐบาลล่วงหน้า หากได้จัดตั้งรัฐบาล

 ประกอบด้วย “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รองนายกฯ ควบ รมว.การต่างประเทศ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รองนายกฯ ควบ รมว.พาณิชย์ และ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกฯ ควบ รมว.การคลัง

การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนความพยายามยกระดับพรรคจาก “พรรคบ้านใหญ่” สู่พรรคขนาดใหญ่ระดับประเทศ โดยหวังเพิ่มคะแนนบัญชีรายชื่อ จากเดิมที่ได้เพียง 3 ที่นั่งในการเลือกตั้งปี 2566 ตั้งเป้าขยับเป็น 15 ที่นั่ง หรือประมาณ 5 ล้านคน ในการเลือกตั้งปี 2569  

อีกทั้งยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในเวทีดีเบตนโยบายเศรษฐกิจ การค้า และการต่างประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีคนนอกทั้ง 3 มีความน่าเชื่อถือและสื่อสารประเด็นยากให้เข้าใจง่ายกว่านักการเมืองอาชีพจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดย  “อนุทิน” เป็นเบอร์ 1 และ “สีหศักดิ์” เป็นเบอร์ 2 เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองในอนาคต

 “คิดว่าพี่น้องประชาชนคงเห็นความทุ่มเทในการทำงานของนายสีหศักดิ์ ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องใช้เรื่องการต่างประเทศ ในการทำให้ประเทศไทยมีสถานะเป็นที่ยอมรับ และสามารถดำรงตนได้อย่างมีศักดิ์ศรีในระดับนานาชาติ” นายอนุทิน กล่าวถึงสาเหตุที่พรรคภูมิใจไทยมีมติเลือกนายสีหศักดิ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ

ส่วน “ศุภจี” และ “เอกนิติ” แม้ถูกจับตาว่าอาจเป็นแคนดิเดต แต่เลือกไม่รับตำแหน่งดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้ากระสุนตกทางการเมือง และคงบทบาทรัฐมนตรีคนนอก และไม่เป็นสมาชิกพรรค ที่มีความคล่องตัวในการทำงานมากกว่า

“อาจยังไม่ชิน แต่เดี๋ยวก็ชิน แต่เที่ยวนี้ขอให้ท่านได้ทำสิ่งที่ท่านสบายใจ จะได้กลั่นผลงานที่ประชาชนประทับใจให้ประเทศของเรา ไม่มีความกังวล ไม่มีเอ๊ะไม่มีเฮ้ย มีแต่คำว่าสู้ เมื่อเขาได้สั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองสักระยะ โดยอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่ แล้ววันนั้นเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของเรา วันนี้มองเขาเป็นคนนอกไม่ได้แล้ว เขาอาจไม่ชินระบบ แต่การทำงานเขาคือคนใน เป็นเพื่อนร่วมงานของเรา” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวต่อหน้าสมาชิกพรรคภูมิใจไทยในวันแถลงนโยบายที่โรงละครอักษรา ศูนย์การค้าคิงพาวเวอร์ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ในวันดังกล่าว พรรคภูมิใจไทยวางกรอบนโยบายใหญ่ 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม และภัยพิบัติ นำเสนอชุดนโยบายที่ต่อยอดจากรัฐบาลเดิม เช่น คนละครึ่งพลัส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส ค่าไฟ 3 บาท เป้าหมาย GDP 3% พลัส เศรษฐกิจสีเขียว การจ้างผู้สูงอายุทำงาน พยาบาลอาสา กองทุนภัยพิบัติ ศูนย์บำบัดยาเสพติดทุกอำเภอ และนโยบายทหารอาสา 1 แสนอัตรา ฯลฯ

 “ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น” อาจารย์ประจำภาควิชาการบริหารและจัดการเมือง วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มองว่า นโยบายดังกล่าวสะท้อนความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ การเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงในอนาคต และการเน้นนโยบายที่ “ทำได้จริง” มากกว่าการขายฝัน 

แม้จะยังมีความท้าทายด้านภาระงบประมาณและความเสี่ยงเงินเฟ้อ แต่หากทีมเศรษฐกิจยังอยู่ครบตามที่ประกาศ ก็อาจช่วยประคองเสถียรภาพการคลังได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งหมดนี้คือภาพความพร้อมของพรรคสีน้ำเงินในสนามเลือกตั้งต้นปี 2569 ส่วนจะไปถึงเป้าหมายหรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองไปจนถึงวันเลือกตั้งที่พร้อมพลิกผันตลอดเวลา และคำตัดสินสุดท้ายจากประชาชนในคูหาเลือกตั้ง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ นั่งหัวโต๊ะดึง 4 กระทรวงแก้เผาอ้อยและพืชไร่

นายกฯ นั่งหัวโต๊ะลงนาม 4 กระทรวง ควบคุมการเผาอ้อยและพืชไร่ ป้องกันปัญหาฝุ่น PM 2.5 ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม โชว์ผลงานเผาอ้อยเป็น 0% คืนอากาศบริสุทธิ์ให้ประชาชนช่วงปีใหม่

'อนุทิน' เผย 'สีหศักดิ์' ตอบรับแคนดิเดตนายกฯ เหมาะสมสถานการณ์ชายแดน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงเหตุผลที่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยลำดับที่สอง

นายกฯ ลั่นทำลายรูปปั้นสัญลักษณ์เขมร เทียบไม่ได้กับทหารไทยขาขาด มองอินเดียตำหนิ ให้เป็นเรื่องแค่ 2 ประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ภายหลังมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC ระดับเลขานุการ ระหว่างฝ่ายไทยและกัมพูชาที่ จ.จันทบุรี

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568