
“ธปท.” แจงหลัง S&P หั่นเครดิตแบงก์พาณิชย์ไทย เหตุจากหนี้ครัวเรือนพุ่ง-เร่งช่วยลูกหนี้จำนวนมาก การันตีฐานะสุดแข็งแกร่ง สำรองทะลัก 8.9 แสนล้านบาท พร้อมรับความเสี่ยงสูงได้ในอนาคต
23 มี.ค. 2565 – นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ไทย (ธพ.) 4 แห่ง และคงความน่าเชื่อถือไว้ 2 แห่ง ด้วยมีมุมมองว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งกฎเกณฑ์ของทางการเอื้อให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของไทยทำได้มากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้มีลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือจำนวนมาก
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบาง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในอนาคต อย่างไรก็ดี S&P จัดให้ ธพ. ทั้ง 4 แห่ง มีแนวโน้มของอันดับความน่าเชื่อถือคงที่ (stable outlook) เนื่องจากยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินกองทุน และมีเงินสำรองในระดับสูง
นายรณดล ชี้แจงว่า ในการแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่รุนแรงและยืดเยื้อ รวมทั้งการฟื้นตัวที่ยังไม่เท่าเทียม ธปท. มีมาตรการสนับสนุนให้ ธพ. ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับสถานการณ์มาต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลาย (countercyclical) ที่เหมาะกับบริบทของไทย และไม่ต่างไปจากแนวทางประเทศต่าง ๆ โดยจะเห็นได้ว่า ลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือปรับลดลงจากที่เคยสูงสุดที่ 30% ของสินเชื่อ ธพ. (ไม่รวม interbank) ในเดือน ก.ค.2563 มาอยู่ที่ 14% ณ สิ้นปี 2564 และส่วนใหญ่ของลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการไปแล้วสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ
ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาสมดุลให้การช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของ ธพ. และเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ติดตามความเสี่ยง คุณภาพสินเชื่อ และฐานะของ ธพ. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบ ธพ. ยังทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดยล่าสุดฐานะการเงินของระบบ ธพ. ไทยยังแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่ 20% โดยระหว่างปี 2563-2564 ธพ. ได้กันสำรองเพิ่มเติม 4.3 แสนล้านบาท สะท้อนความระมัดระวังของ ธพ. ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงสูงข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน เงินสำรองของระบบ ธพ. อยู่ที่ 8.9 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 1.6 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio)
นอกจากนี้ ธปท. ได้ทดสอบระดับเงินกองทุนของ ธพ. (ระหว่างปี 2564-2566) ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าระบบ ธพ. ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงในอนาคต ในระยะต่อไป คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้รายได้และ ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ รวมถึงคุณภาพสินเชื่อของ ธพ. ปรับดีขึ้นเป็นลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หลังเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง
นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการฯ มีมติเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.25% ต่อปี
แบงก์ชาติชี้ ศก. ไทยไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงว่า “ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากสถานการณ์ในภาคธนาคารและความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วนขับเคลื่อนท่องเที่ยวหนุนเศรษฐกิจไทยโต
นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล ส่งผลดีภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง
'ธปท.' สำรองเงินสดรับสงกรานต์ 2.5 หมื่นล. เพิ่มขึ้น 67%
“ธปท.” กางยอดสำรองเงินสดรับเทศกาลสงกรานต์ 2.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 67% หลังประเมินหยุดยาวต่อเนื่อง พ่วงกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มฟื้น ด้านสถาบันการเงินตุนสำรองเงินสดรองรับการใช้จ่ายเต็มพิกัด
'แบงก์ชาติ' เร่งวางเกณฑ์คุมธนาคารคิดค่าธรรมเนียม ย้ำต้องสะท้อนต้นทุนแท้จริง
นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. มีเป้าหมายจะยกระดับให้การใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นทางเลือกหลักในการชำระเงินของประชาชน