กนง.ประกาศคงดอกเบี้ย/หั่นจีดีพีรับศึกรัสเซีย-ยูเครน

กนง.เอกฉันท์คงดอกเบี้ย0.5% พร้อมหั่นจีดีพีรับศึกรัสเซีย-ยูเครน-น้ำมันแพงเหลือ 3.2% จ่อร่อนหนังสือแจง “คลัง” หลังเงินเฟ้อหลุดกรอบแตะ 4.9% 

30 มี ค. 65 -นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2565 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี  และปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 เหลือ 3.2% จากเดิม 3.4% ส่วนปี 2566 ปรับลดลงเหลือ 4.4% จากเดิม 4.7% โดยเศรษฐกิจไทยในปี 2565  ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน -0.1% เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอตัวจากสถานการณ์รัสเซียน-ยูเครน -0.2% และผลกระทบจากราคาน้ำมัน -0.3% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 4.9% และ 1.7% ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 5% ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ในปี 2565 จากราคาพลังงานและการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารเป็นหลัก ก่อนที่จะปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ในปี 2566 ส่วนหนึ่งจากราคาพลังงานที่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย กนง.เตรียมทำหนังสือเปิดผนึกถึงกระทรวงการคลังเพื่อชี้แจงกรณีอัตราเงินเฟ้อเกินกรอบเป้าหมาย

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงกว่าที่ประเมินไว้ และการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจมากกว่าคาด ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นผลจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน (COST-PUSH INFLATION) ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (DEMAND-PULL INFLATION) ยังอยู่ในระดับต่ำจากรายได้ที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย

“การปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงขึ้น มองว่ามีผลกระทบที่กว้างที่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักให้ดีในการขยับ การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ หากขึ้นแรงก็ลดเงินเฟ้อได้ แต่จะฉุดอุปสงค์ให้ถดถอย และเมื่อมองไปข้างหน้าเงินเฟ้อก็ไม่ได้ขึ้นร้อนแรงและต่อเนื่อง จึงไม่อยากใช้เครื่องมือที่มีผลกระทบค่อนข้างมากในขณะนี้ กับปัจจัยที่มีลักษณะชั่วคราว เพราะดอกเบี้ยมีผลพอสมควร” นายปิติ กล่าว

นายปิติ กล่าวว่า กนง.ยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยและเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น หรือ STAGFLATION เพราะภาวะดังกล่าว เศรษฐกิจจะต้องตกต่ำ ไม่ขยายตัว ขยายตัวช้าเป็นเวลายาวนาน ส่วนเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แต่เมื่อมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอยู่ในลักษณะกำลังทะยานขึ้น ในปี 2566 ก็โตเร็วกว่าศักยภาพ และ คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะกลับเข้าสู่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในช่วงปลายปี 2565 หรือ ต้นปี 2566

ขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากการติดตามตลาดตราสาร พันธบัตร ยังไม่เห็นสัญญานเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีลักษณะหวือหวา แม้ว่าตลาดจะมีการคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 5-6 ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2% แต่ถ้าดูผลตอบแทนพันธบัตร 2 ปี สหรัฐ อยู่ที่ประมาณ 2% ส่วนของไทยอยู่ที่ 0.7-0.8% มองไปข้างหน้าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะไม่กระทบต่อค่าเงินบาท และความเสี่ยงเงินทุนไหลออกยังอยู่ในขอบเขตที่ดูแลได้ เพราะนักลงทุนจะให้ความสำคัญต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งเศรษฐกิจไทยกำลังจะทะยานขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐมีการคาดการณ์ว่าใกล้จะชะลอตัวแล้ว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง